บลจ.กรุงศรี จัดสัมมนา A Shining Spot on Long-term Growth Investment in Asia

27 มีนาคม 2561
บลจ. กรุงศรีชี้ภูมิภาคเอเชียมีปัจจัยน่าลงทุนสูงสุด ท่ามกลางภาวะฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก พร้อมแนะนำ “กองทุนเปิดกรุงศรีเอเชียนอิควิตี้เฮดจ์เอฟเอ็กซ์ – สะสมมูลค่า”   รวมดาวเด่นหุ้นชั้นนำของเอเชียที่มีศักยภาพการเติบโตสูงและยั่งยืน

21 มีนาคม 2561 - บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด (บลจ.กรุงศรี) จัดสัมมนาแนะนำ “กองทุนเปิดกรุงศรีเอเชียนอิควิตี้เฮดจ์เอฟเอ็กซ์ – สะสมมูลค่า (KFHASIA-A)” กองทุนรวมต่างประเทศน้องใหม่ที่จะเน้นลงทุนในหุ้นดาวเด่นที่มีแนวโน้มการเจริญเติบโตสูงในภูมิภาคเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) ผ่าน Vontobel Fund - mtx Sustainable Asian Leaders (Ex Japan) กองทุนชั้นนำที่ได้รับ Morningstar Rating 5 ดาว ณ 31 ธ.ค. 60*  มีผลการดำเนินงานในการลงทุนเหนือดัชนี MSCI AC Asia Ex Japan มาโดยตลอดนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน โดยนำเสนอขายครั้งแรก 16-27 มีนาคม นี้ 
*Morningstar rating จาก Vontobel ณ 31 ธ.ค. 2560 โดยการจัดอันดับดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดอันดับของสมาคมบริษัทจัดการลงทุนแต่อย่างใด

ในงานสัมมนาเมื่อเร็วๆ นี้ คุณฉัตรแก้ว เกราะทอง ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนทางเลือก บลจ.กรุงศรี พร้อมด้วยคุณ Suzanna Wong, Head of Intermediary Distribution, Asia Vontobel Asset Management ร่วมกันให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน และทิศทางการเติบโต ความน่าสนใจ ตลอดจนปัจจัยเสี่ยงในการลงทุนหุ้นในภูมิภาคเอเชีย พร้อมทั้งให้รายละเอียดเกี่ยวกับกลยุทธ์และหลักเกณฑ์การเลือกหุ้นของกองทุนที่ทำให้ได้ผลตอบแทนชนะตลาดอย่างสม่ำเสมอ พอร์ตของกองทุนในปัจจุบัน และความคาดหวังในอนาคต
คุณฉัตรแก้วกล่าวว่า โดยภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มมีการฟื้นตัวตั้งแต่ปี 2560 ที่ผ่านมา และเป็นการเติบโตโดยพร้อมเพรียงกัน แต่ภูมิภาคเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) ถือได้ว่าเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ โดยมีอัตราการเติบโตของ GDP เฉลี่ยอยู่ที่ 5.2% ขณะที่ประเทศจีนและอินเดียมีอัตราเติบโตของ GDP อยู่ที่ 6.5% และ 7.5% ตามลำดับ ทั้งนี้ หลายปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตดังกล่าว ได้แก่ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของโลกที่ทำให้การค้าและการส่งออกของเอเชียกลับมาขยายตัวมากขึ้น ขณะเดียวกันการบริโภคภายในประเทศก็เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีจำนวนประชากรวัยทำงานจำนวนมากทำให้ความต้องการด้านการบริโภคอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้หลายประเทศเช่น ไทย อินโดนีเซีย และอินเดีย ก็มีการลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้นด้วย จึงเป็นปัจจัยผลักดันให้เศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ขยายตัวเป็นอย่างมากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีการปรับตัวดีขึ้น โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตมากที่สุด 
สำหรับภูมิภาคเอเชีย ตลาดดัชนี MSCI AC Asia Ex Japan นั้น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้เข้ามาแทนที่หุ้นกลุ่มพลังงานซึ่งเคยเป็นกลุ่มสำคัญในตลาด โดยมีสัดส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอยู่ในตลาดมากกว่า 30% สำหรับกลุ่มอื่นๆ เช่นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มการเงินและธนาคารก็มีแนวโน้มขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน  สำหรับปัจจัยที่ทำให้หุ้นในภูมิภาคเอเชียมีความน่าสนใจคืออัตราการเติบโตของกำไรสุทธิอยู่ในระดับสูง

แหล่งข้อมูล: Factset, MSCI, Vontobel Asset Management ณ 31 ม.ค. 61

ในปี 2560 ที่ผ่านมา บริษัทจดทะเบียนในภูมิภาคเอเชียมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิสูงถึง 20% ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของทุก ๆ ปี ที่เติบโต 13-15% เพราะโตมาจากฐานที่ต่ำของปี 2558 สำหรับในปีนี้มีแนวโน้มการเติบโตกลับสู่ภาวะปกติที่ 12-13% ซึ่งถือว่าเป็นเกณฑ์การเจริญเติบโตที่ค่อนข้างดี เหมาะแก่การลงทุน และถึงแม้จะมีอัตราการเติบโตสูง แต่ระดับราคาหุ้นก็ยังมีราคาที่ถูกกว่าหุ้นในประเทศพัฒนาแล้วเป็นอย่างมาก โดยมี P/E ของ MSCI Asia Ex Japan อยู่ที่ 12 - 13 เท่า ซึ่งถูกกว่าตลาด MSCI World ที่มี P/E อยู่ที่ 15 เท่า ส่วนตลาดที่พัฒนาแล้วบางประเทศ มี P/E ที่ 18 เท่า ดังนั้น P/E ของหุ้นในเอเชียจึงยังถูกกว่าที่อื่น  มีความปลอดภัยเรื่องของระดับราคา 
นอกจากนี้ หุ้นในภูมิภาคนี้ยังซื้อขายกันที่ราคาที่มีส่วนลด (discount price) จึงถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ความน่าสนใจของเอเชียทำให้ในปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติเริ่มหันกลับมาลงทุนในหุ้นเอเชียเพิ่มมากขึ้น ทำให้ fund flow ปรับตัวดีขึ้น โดยมีเงินลงทุนไหลเข้าไปในประเทศในเอเชียเช่น ในจีน ฮ่องกง อินเดีย เกาหลี ไต้หวัน โดยเฉพาะหุ้นในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เป็นครั้งแรกที่หุ้นเทคโนโลยีจากเอเชีย คือ Tencent Holdings จากประเทศจีนมีมูลค่าหลักทรัพย์ใหญ่จนติดอันดับหนึ่งในห้าของตลาดหุ้นทั่วโลก และมีหุ้นอีกหลายตัวที่ติด 30 อันดับแรกของหุ้นในตลาดโลกแสดงถึงศักยภาพในการเติบโตของหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่มีเพิ่มมากขึ้น

แหล่งข้อมูล: Goldman Sachs Asia Pacific Weekly Kickstart ณ 9 ก.พ. 61 และ MSCI, Factset, Vontobel Asset Management ณ 31 ม.ค. 61

ปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจในภาพรวมที่อาจส่งผลกระทบบ้างได้แก่ แนวโน้มที่อัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้น แต่ บลจ.กรุงศรีมองว่าอัตราเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้นยังอยู่ในกรอบเป้าหมายของธนาคารกลางแต่ละประเทศและอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ จึงเป็นปัจจัยที่ไม่น่ากังวลมากนัก
สำหรับกองทุน Vontobel Fund - mtx Sustainable Asian Leaders (Ex Japan) ที่บลจ.กรุงศรี เลือกมาเป็นกองทุนหลักนั้น มีความโดดเด่นมากในเรื่องของผลประกอบการ ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อปี 2551 นั้น เมื่อเทียบกับดัชนี MSCI AC Asia Ex Japan แล้วสามารถทำผลตอบแทนชนะตลาดได้โดยต่อเนื่องมาตลอด โดยปี 2560 ที่ผ่านมากองทุนสามารถทำกำไรได้ถึง 56% โดยเอาชนะตลาดที่ทำกำไรอยู่ที่ 42% แม้แต่ในปี 2558 ที่ตลาดหุ้นตกทั่วโลกแต่กองทุนก็ยังติดลบน้อยกว่าดัชนี แสดงถึงความสามารถในการเลือกหุ้นให้สามารถทำกำไรภายใต้ความเสี่ยงที่ต่ำกว่า ทั้งนี้กองทุนมีนโยบายการลงทุนเชิงรุก ภายใต้เป้าหมายหลักคือการทำกำไร โดยกองทุนมีทีมนักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมทำการวิเคราะห์และคัดเลือกหุ้นตามนโยบายของกองทุน

แหล่งข้อมูล: Vontobel Asset Management ณ 31 ธ.ค. 60

ด้าน Suzanna กล่าวว่า ความสำเร็จของกองทุนมาจากหลักเกณฑ์การคัดเลือกหุ้น ซึ่งจะมีการพิจารณาจาก 4 ปัจจัยหลักได้แก่ เป็นหุ้นที่มีอัตราการทำกำไร (Return on Investment Capital (ROIC) อยู่ในระดับสูง เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม ลงทุนในระดับราคาที่เห็นว่ามีโอกาสเติบโตโดยคัดเลือกหุ้นที่คาดว่าจะมี upside ที่ระดับ 25% และเลือกบริษัทที่มีธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการด้วย เพราะเชื่อว่าบริษัทที่มีธรรมาภิบาลจะมีความยั่งยืน โดยปัจจุบันสินทรัพย์หลักที่กองทุนลงทุน ได้แก่ บริษัท Tencent Holdings บริษัทด้านเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีนเจ้าของแอพพลิเคชั่น WeChat และเกมออนไลน์ที่มีอัตราเติบโตสูงที่สุดในโลก โดยลงทุนเป็นสัดส่วนสูงที่สุดที่ 7.01% เนื่องจากบริษัทมีฐานลูกค้ามากกว่า 800 ล้านคนทั่วประเทศจีนและมีโอกาสขยายธุรกิจให้เติบโตไปได้อีกอย่างมาก อันดับต่อมาคือบริษัท Samsung Electr-gdr บริษัท IT ยักษ์ใหญ่ของเกาหลี โดยกองทุนลงทุนอยู่ 6.63% นอกจากนี้กองทุนยังมีการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีอัตราเติบโตสูง ได้แก่กลุ่มธนาคาร มีการลงทุนทั้งในประเทศจีน อินเดียและอินโดนีเซีย กองทุนยังมีการลงทุนอีก 3.15% ในการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท) ด้วย เนื่องจากเล็งเห็นศักยภาพในการเติบโตจากการมีธุรกิจที่ครอบคลุมหลายอย่าง
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนหุ้นที่กำลังเติบโตในภูมิภาคเอเชียดังกล่าว สามารถลงทุนผ่านกองทุน KFHASIA-A ซึ่งจะลงทุนในกองทุนหลัก Vontobel Fund - mtx Sustainable Asian Leaders (Ex Japan)โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่นอ้ยกว่า 80% ของ NAV และบลจ.กรุงศรีจะมีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ณ ขณะใดขณะหนึ่งไม่น้อยกว่า 90%   ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ

ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต 
ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
กองทุน KFHASIA-A มีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเกือบทั้งหมด โดยปกติกองทุนจะป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนโดยไม่น้อยกว่า 90 % ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ
กองทุนมีความเสี่ยงระดับ 6 – เสี่ยงสูง 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนกองทุนได้ที่
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด
ชั้น 1-2 โซนเอ, 12, 18 อาคารเพลินจิตทาวเวอร์ เลขที่ 898 ถนนเพลินจิต เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
โทรศัพท์ 0 2657 5757 l โทรสาร 0 2657 5777
E-mail: krungsriasset.mktg@krungsri.com | Website: www.krungsriasset.com

เอกสารประกอบเปิดด้วยโปรแกรม Acrobat Reader หากท่านไม่มีโปรแกรมดังกล่าว คลิกเพื่อ ดาวน์โหลด โปรแกรม (ไม่มีค่าใช้จ่าย)

ย้อนกลับ

ลงทุนในกองทุนรวมบลจ.กรุงศรี

บลจ.กรุงศรีมีกองทุนรวมหลายประเภทให้เลือกลงทุนสำหรับทุกเป้าหมายการลงทุน