บลจ. กรุงศรี จัดสัมมนา “อินเดีย…ยุคทองของการเติบโต โอกาสทองของการลงทุน”

26 กันยายน 2560
“อินเดีย ยุคทองแห่งการเติบโต”
บลจ.กรุงศรี จัดตั้งกองทุน กรุงศรีอินเดียอิควิตี้ KF-INDIA เปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยเข้าลงทุนในบริษัทที่มีผลกำไรต่อเนื่องในอินเดียและอนุทวีปอินเดีย ดินแดนที่แนวโน้มเศรษฐกิจอยู่ในขาขึ้นทั้งในระยะสั้นถึงระยะยาว

 
15 กันยายน 2560 - บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด จัดสัมมนาพิเศษ ในหัวข้อ “อินเดีย…ยุคทองของการเติบโต โอกาสทองของการลงทุน” โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญการลงทุน คุณเกียรติศักดิ์ ปรีชาอนุสรณ์ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนทางเลือก บลจ. กรุงศรี และคุณวิเนย์ อาการ์วาล ผู้จัดการกองทุน First State Indian Subcontinent Fund ที่เป็นกองทุนหลักของ KF-INDIA มาให้ข้อมูลด้านเศรษฐกิจของอินเดียและภูมิภาคอินเดีย รวมถึงนโยบายการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนเหนือกว่าตลาด
 
ในงานสัมมนา คุณเกียรติศักดิ์แสดงความมั่นใจในในโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจระยะยาวของอินเดียที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 8% ต่อปีในอีก 5-6 ปีข้างหน้าซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่อื่นๆ  โดยมีการคาดการณ์ว่าสัดส่วน GDP ของอินเดียในโลกจะเพิ่มจาก 7% เป็น 15% ก่อนปี 2593 บนเหตุผล 3 อย่างนั่นคือ จำนวนประชากรที่จะเพิ่มสูงขึ้น จำนวนประชากรอายุน้อยที่อยู่ในอัตราสูง และ การเติบโตของชุมชนเมือง  มีการคาดการณ์ว่าจำนวนประชากรของอินเดียที่มีอยู่ 1.34 พันล้านคนจะแซงหน้าประเทศจีนก่อนปี 2568 ทำให้ตลาดมีขนาดใหญ่ ช่วยให้ง่ายต่อการเริ่มธุรกิจใหม่ๆและโอกาสที่อินเดียจะเป็นศูนย์กลางในเรื่องต่างๆ  อายุเฉลี่ยของประชากรวัยทำงานของอินเดียยังต่ำแค่  27 ปีเทียบกับ 37 ปีในจีน และ  38 ในประเทศไทย ซึ่งน่าจะทำให้การบริโภคเติบโตต่อไปได้  ท้ายสุด ตอนนี้พลเมืองอินเดียแค่ 32% อาศัยในเขตเมืองเทียบกับ 58% ในจีน และ 51% ในประเทศไทยและนั่นหมายถึงการลงทุนใหม่ๆด้านสาธารณูปโภค
แหล่งข้อมูล: Central Statistics Organisation; and OECD Economic Outlook 100 database, OECD Economic Surveys: India, February 2017 | ข้อมูลปี 2016 จาก IMF, ข้อมูลตัวเลขคาดการณ์ปี 2050 จาก PwC, เอกสาร The long view: how will the global economic order change by 2050, PwC, กุมภาพันธ์ 2560 | worldometers.info | IMF and Nomura Global Economics   

"อินเดียยังเป็นตลาดที่ลงทุนได้อีกเป็น 10  ปี" คุณเกียรติศักดิ์บอกผู้เข้าฟังสัมมนา 
เขากล่าวเพิ่มเติมว่าในระยะสั้นและระยะกลางเศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตอย่างต่อเนื่องเพราะปัจจัยภายในประเทศเริ่มคลี่คลายและการปฏิรูปเศรษฐกิจโดยประธานาธิบดี นเรนทรา โมดี   โดยที่การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและการขาดดุลงบประมาณที่สูงประมาณ 5% ของ GDP ในปี 2556 ลดลงมาเหลือ 0.7% และ 3% ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อที่สูงเกือบ 14% ในปี 2555 ลดลงมาเป็น 2-3% ทำให้ดอกเบี้ยลดลง เป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น  โมดียังได้รับการสนับสนุนจากเสียงส่วนใหญ่ในสภาทำให้ประเทศมีเสถียรภาพทางการเมืองแบบที่ไม่เคยเป็นมาในหลายทศวรรษและทำให้มีความต่อเนื่องด้านนโยบาย นอกจากนั้นโมดียังมีการวางนโยบายเพื่อทำให้อินเดียเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของโลกและนโยบายปฏิรูปหลายอย่างเช่น การออกกฎหมายภาษีสินค้าและบริการที่ทำให้เกิดระบบภาษีเดียวใน 28  รัฐและคาดว่าน่าจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตเพิ่มอีก 1% เนื่องจากต้นทุนการขนส่งและราคาสินค้าที่ต่ำลง โมดียังมีนโยบายให้ประชากรทุกคนมีโทรศัพท์ แผนการปรับปรุงสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า รถไฟ และ ถนน) และการปฏิรูปกฎหมายโดยที่มีการยกเลิกกฎหมายไปแล้วกว่า 1,000 ฉบับ
"นักลงทุนชอบการปฏิรูปเพราะการปฏิรูปยกระดับประเทศ ทำให้ GDP ขึ้นง่าย ไม่ต้องอิงกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก การลงทุนด้านสาธารณูปโภคจำนวนมาก ถ้าเสร็จก็จะทำให้ปัจจัยพื้นฐานดีขึ้น เพิ่ม GDP นักลงทุนก็อยากเข้าไป" คุณเกียรติศักดิ์กล่าว "อินเดียดีมากสำหรับคนที่อยากลงทุนยาวๆ" 
แหล่งข้อมูล: tradingeconomics.com | ndtv.com 26 May 2017, loksabha.nic.in | เอกสาร “India – Transforming through radical reforms”, EY, ก.พ. 2560

กองทุนหุ้น KF-INDIA จะลงทุนในกองทุน First State Indian Subcontinent โดยเป็นกองทุนเดียวที่ได้รับการจัดอันดับ 5 ดาวโดย Morningstar สำหรับผลประกอบการโดยรวม ณ 31 กค. 2560  โดยกองทุนพยายามหาหุ้นที่ตรงตามนโยบายการลงทุนและปิดความเสี่ยงขาลง ทำให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดและให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ
แหล่งข้อมูล: Morningstar rating จาก Morningstar ณ 31 ก.ค. 2560. ข้อมูลกองทุนและ Lipper ratings จาก First State Investment ณ 31 ก.ค. 2560. โดยการจัดอันดับดังกล่าว ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดอันดับของสมาคมบริษัทจัดการลงทุนแต่อย่างใด .กองทุน KF-INDIA จะลงทุนใน Class III.

 
ด้านนายอาการ์วาลกล่าวในงานสัมมนาว่า ทีมงานของเขาประกอบไปด้วยผู้ที่มีความรู้ในหลายๆด้านจำนวน 20 คน โดยพวกเขามีการประชุมกันเป็นประจำเพื่อพูดคุยกันเรื่องการลงทุน โดยกองทุนตอนนี้ให้น้ำหนักไปที่บริษัทขนาดกลางที่มีระบบการจัดการการบริหารที่ดี มีแผนทางธุรกิจที่ดีและมีแนวโน้มการเติบโตสูง บริษัทที่ตรงตามนโยบายคือบริษัทที่มีแบรนด์ที่คนรู้จักและมีอำนาจในการตั้งราคาซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถคงอัตรากำไรขั้นต้นในระดับสูงและสร้างอัตราผลตอบแทนของกิจการได้ในทุกสถานการณ์ เจ้าของกิจการก็เป็นส่วนหนึ่งที่กองทุนพิจารณาโดยพวกเขาต้องมีแผนในการขยายกิจการแต่แผนนั้นต้องมีการพิจารณาอย่างรัดกุม นอกจากนั้น กองทุนยังคิดว่าตนเป็นนักลงทุนระยะยาวที่พร้อมจะส่งคำเตือนหากบริษัทนั้นๆมีแผนการลงทุนที่ไม่สมเหตุสมผล โดยใน 10 ปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนสะสมของกองทุนอยู่ที่ 234.46% สูงกว่าผลตอบแทนของตลาด (MSCI India) ที่อยู่ที่ 40.47% 
“ปรัชญาการลงทุนของเราคือหาบริษัทและคนที่ใช่ เพื่อหาบริษัทที่ทำธุรกิจอย่างระมัดระวังเพื่อจะได้อยู่ในธุรกิจไปนานๆและบริษัทที่มีอำนาจในการตั้งราคา” เขากล่าว 
แหล่งข้อมูล: แหล่งข้อมูล: โครงสร้างทีมผู้จัดการกองทุนจาก First State Investments | First State Investments ณ 31 ส.ค. 2560 เป็นผลการดำเนินงานของกองทุนหลัก ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้ำ เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงราคา/ผลตอบแทนในอนาคต

นายอาการ์วาลยังเชื่อว่าอนุทวีปอินเดียมีโอกาสการเติบโตที่สูงมากในอีก 10-15 ปี เพราะมีสัดส่วนในเศรษฐกิจโลกแค่ 4% แต่เป็นที่อยู่ของประชากรโลก 23% ในอนุทวีปนี้มีบริษัทให้ลงทุนมากมาย เช่น Healthcare Global ที่มีโรงพยาบาลรักษาโรคมะเร็งโดยเฉพาะถึง 25 แห่ง คาดว่าบริษัทนี้จะสร้างผลตอบแทนได้ 25-30% ในอีก 5-10 ปีข้างหน้าเพราะในแต่ละปี ประชากรอินเดียนับ 1.1 ล้านคนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็ง ในเวลานี้ตลาดหลักทรัพย์บอมเบย์มีบริษัทจดทะเบียนสูงถึง 5,820 บริษัทซึ่งรวมบริษัทระดับโลกอย่าง คอลเกต เนสท์เล และยูนิลีเวอร์ ที่มีระบบการจัดการบริหารที่ดี นวัตกรรม และสินค้าที่มีผู้ใช้จำวนมาก 
“ภูมิภาคนี้จะเติบโตต่อไปเนื่องจากมีการบริโภคสินค้าหลายอย่างเป็นจำนวนมากเช่น แชมพู สบู่ และรถยนต์ เทียบกับในตลาดเกิดใหม่อื่นๆ” เขากล่าวพร้อมกับคาดหวังว่าการลงทุนด้านสาธารณูปโภคโดยเฉพาะไฟฟ้าจะทำให้คนเปลี่ยนวิธีการหารายได้และการบริโภค โดย ณ เวลานี้ กองทุนมากกว่า 95% ลงทุนในบริษัทในประเทศอินเดีย และลงทุนที่เหลือในประเทศเพื่อนบ้านนั่นคือ ศรีลังกา ปากีสถาน และ บังกลาเทศ  
แหล่งข้อมูล: First State Investments ณ 30 มิ.ย. 60

คำเตือน
1. เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูล แต่บริษัทฯมิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือ และความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จาเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
2. กองทุนเปิดกรุงศรีอินเดียอิควิตี้ (KF-INDIA) มีนโยบายการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศชื่อ กองทุน First State Indian Subcontinent Fund (Class III USD) (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80.00 ของ NAV โดยกองทุนหลักมีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนหรือซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่อยู่ในอนุทวีปอินเดีย ได้แก่ ประเทศอินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกา และ บังกลาเทศ ดังนั้น กองทุนอาจมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และ/หรือการเมืองในประเทศซึ่งกองทุนหลักได้ลงทุน
3. กองทุนอาจทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินโดยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทจัดการ ซึ่งอาจมีต้นทุนสำหรับการทำธุรกรรมฯ โดยทำให้ผลตอบแทนของกองทุนโดยรวมลดลงจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และในกรณีที่ไม่ได้ทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงฯ ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับ ผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
4. กองทุนไทยและ/หรือกองทุนหลัก อาจลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการลงทุน ทำให้กองทุนไทยและ/หรือกองทุนหลักอาจมีความเสี่ยงมากกว่ากองทุนรวมทั่วไป จึงเหมาะสมกับผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูงและรับความเสี่ยงได้สูงกว่าผู้ลงทุนทั่วไป ผู้ลงทุนควรลงทุนในกองทุนรวมเมื่อมีความเข้าใจในความเสี่ยงของสัญญาฯ โดยคำนึงถึงประสบการณ์การลงทุน วัตถุประสงค์การลงทุน และฐานะการเงินของผู้ลงทุนเอง
5. กองทุนไทยและ/หรือกองทุนหลักอาจลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Non–Investment grade) หรือที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated Securities) ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกตราสาร ซึ่งส่งผลให้ผู้ลงทุนขาดทุนจากการลงทุนบางส่วนหรือทั้งจานวนได้ และในการขายคืนหน่วยลงทุนอาจไม่ได้รับเงินคืนตามที่ระบุไว้ในโครงการจัดการ
6. ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงราคา/ผลตอบแทนในอนาคต
7.บริษัทจัดการกองทุนอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) สำนักงาน ก.ล.ต. เป็นผู้อนุมัติการจัดตั้ง กองทุนเปิดกรุงศรีอินเดียอิควิตี้ (KF-INDIA) แต่ไม่ได้รับผิดชอบในการบริหารกองทุนและไม่ได้รับประกันราคาหน่วยลงทุนของกองทุน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนกองทุนได้ที่
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด
ชั้น 1-2 โซนเอ, 12, 18 อาคารเพลินจิตทาวเวอร์ เลขที่ 898 ถนนเพลินจิต เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
โทรศัพท์ 0 2657 5757 l โทรสาร 0 2657 5777
E-mail: krungsriasset.mktg@krungsri.com | Website: www.krungsriasset.com

เอกสารประกอบเปิดด้วยโปรแกรม Acrobat Reader หากท่านไม่มีโปรแกรมดังกล่าว คลิกเพื่อ ดาวน์โหลด โปรแกรม (ไม่มีค่าใช้จ่าย)

ย้อนกลับ

ลงทุนในกองทุนรวมบลจ.กรุงศรี

บลจ.กรุงศรีมีกองทุนรวมหลายประเภทให้เลือกลงทุนสำหรับทุกเป้าหมายการลงทุน