KFCORE พอร์ตหลักสำหรับทุกภาวะการลงทุน
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงศรี จำกัด (บลจ.กรุงศรี) จัดสัมมนา “2023 Playbook: Strengthen Your Core Portfolio” เพื่ออัปเดตภาวะเศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับรับมือความผันผวนที่จะยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง พร้อมแนะนำกองทุน KFCORE ที่ออกแบบมาสำหรับเป็นพอร์ตหลักในทุกภาวะการลงทุน
คุณพรชนก รัตนรุจิกร ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนทางเลือก บลจ.กรุงศรี กล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและปัจจัยกดดันในการลงทุนทั่วโลกในรอบปีที่ผ่านมา ทั้งผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ภาวะเงินเฟ้อ วิกฤติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน และการปิดประเทศของจีน ที่ล้วนมีส่วนทำให้สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก โดยเฉพาะหุ้นและตราสารหนี้ทำผลตอบแทนได้ไม่ดีนัก และคาดว่าตลาดยังคงมีความผันผวนจากปัจจัยดังกล่าวต่อไปในปีนี้ จึงต้องลงทุนด้วยความระมัดระวัง เน้นการกระจายความเสี่ยงให้มากขึ้นเพื่อปกป้องเงินลงทุนและสร้างผลตอบแทนที่ดี
อย่างไรก็ดี คาดว่าในปี 2566 นี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สินทรัพย์ต่างๆจะกลับมาฟื้นตัว แต่ต้องปรับการลงทุนให้มีกลยุทธ์ โดยมองว่า มี 3 เทรนด์การลงทุนที่สำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีของกองทุน คือ (1) กองทุนต้องมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด (2) มีการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย และที่สำคัญคือ (3) แนวคิดการลงทุนที่ใส่ใจในเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคมและการมีบรรษัทภิบาล (ESG) ที่ต้องนำมาใช้ในการพิจารณาสินทรัพย์เพื่อการลงทุน
ซึ่งแนวคิดด้าน ESG เป็นเทรนด์การลงทุนที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ โดยในระหว่างปี 2562 - 2565 ที่ผ่านมา นั้น มีเงินลงทุนไหลเข้าไปในสินทรัพย์ที่มีแนวคิดด้าน ESG เพิ่มมากขึ้นถึง 8 เท่า และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเชื่อว่าการลงทุนใน ESG นั้นจะช่วยให้พอร์ตมีโอกาสเติบโตด้วยผลตอบแทนที่ดีและยั่งยืนกว่า
ที่มา: (ซ้ายไปขวา) Morningstar, Goldman Sachs Global Investment Research ณ 15 ธ.ค. และ 30 พ.ย. 65
จากแนวคิดดังกล่าว ทำให้ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 เป็นต้นมา บลจ.กรุงศรี จึงได้ปรับโครงสร้างกองทุน โดยเปลี่ยนมาใช้ BGF ESG Multi-Asset Fund เป็นกองทุนหลักของ KFCORE เพื่อตอบโจทย์ตามเทรนด์การลงทุนที่เกิดขึ้น โดยจะมุ่งเน้นการลงทุนโดยคำนึงถึงปัจจัยด้านความยั่งยืนที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) หรือ “ESG” พร้อมกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์เพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่เน้นเพียงการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ผ่าน ETF รวมถึงจะเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ เช่น พลังงานทางเลือก เทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาดหรือหุ้นกู้คุณภาพสูงต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาดในระดับต่ำ และใช้กลยุทธ์การลงทุนที่มีความยืดหยุ่นสูง เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนพอร์ตให้ทันกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงของตลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา
กองทุน BGF ESG Multi-Asset Fund นี้ถือเป็นอีกหนึ่งกองทุนชั้นนำ ได้รับ 5 ดาวจากมอร์นิ่งสตาร์(1) และอยู่ภายใต้การบริหารของ BlackRock บริษัทจัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก(2) ซึ่งบลจ.กรุงศรี เชื่อว่า กองทุนจะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับนักลงทุนท่ามกลางภาวะตลาดที่ยังคงผันผวนจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง
ที่มา:
(1) Morningstar/Blackrock ณ 31 ธ.ค. 65 |
(2) Statista.com ณ 31 มี.ค. 65 ซึ่งเป็นข้อมูลล่าสุด ณ 31 ธ.ค. 65 | การจัดอันดับข้างต้นไม่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดอันดับของ AIMC แต่อย่างใด
ที่มา: BlackRock ณ 31 ธ.ค. 65 โดยเป็นข้อมูลเพื่อประกอบการอธิบายเท่านั้น ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต
ด้านคุณ Samuel Edgerley ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนจาก BlackRock กล่าวว่า
กองทุน BGF ESG Multi-Asset Fund เน้นการลงทุนเพื่อสร้างความยั่งยืนเป็นหลักสำคัญ โดยกองทุนมีประสบการณ์ลงทุนในสินทรัพย์ด้าน ESG มายาวนานกว่า 20 ปี มีพอร์ตสินทรัพย์เพื่อความยั่งยืนที่ใหญ่และเติบโตเร็วที่สุดในโลก มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยคัดเลือกสินทรัพย์ที่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การคัดเลือกสินทรัพย์ของกองทุน รวมทั้งยังทีมงานในการบริหารจัดการความเสี่ยงของการลงทุนอีกด้วย นอกจากนี้ กองทุนยังมีเครื่องมือในการลงทุนที่หลากหลาย ทั้งการลงทุนโดยตรงในสินทรัพย์ ตราสารอนุพันธุ์ (Derivatives) หุ้นกู้หรืออื่นๆ ทั้งนี้ ด้วยความเชียวชาญการลงทุนภายใต้ความผันผวน ทำให้ที่ผ่านมาสามารถทำผลตอบแทนชนะตลาดและคู่แข่งได้ในทุกช่วงเวลา แม้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 ที่ทั่วโลกได้รับจากผลกระทบจากโควิด-19 แต่กองทุนก็ยังติดลบน้อยกว่าคู่แข่งอื่นๆ และสามารถพลิกกลับมาเอาชนะตลาดได้อย่างรวดเร็ว
ที่มา: EAA Morningstar Moderate Allocation –Global Sector. และ BlackRock ณ 30 พ.ย. 65 โดยเป็นข้อมูลเพื่อประกอบการอธิบายเท่านั้น ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต
สำหรับแนวคิดในการคัดเลือกสินทรัพย์เพื่อลงทุน สินทรัพย์นั้นต้องมีการดำเนินการด้าน ESG อย่างเป็นรูปธรรมและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูงจากการดำเนินการดังกล่าว มีคะแนนด้าน ESG สูงมากกว่า 75% และต้องยังอยู่ในระดับราคาที่น่าสนใจ ด้วยกลยุทธ์ดังกล่าว ทำให้ผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาติดอันดับต้นๆ มาโดยตลอด จากกลยุทธ์ในการปกป้องเงินลงทุนและเน้นโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี พร้อมกับมีการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม สำหรับการกระจายความเสี่ยงของกองทุนนั้น กองทุนมีการลงทุนผ่านหลักทรัพย์ต่างๆ อย่างหลากหลาย แต่สัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทจะไม่ให้สูงเกินไป เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างต่อเนื่องในทุกวัฏจักรของตลาด นอกจากนี้ กองทุนยังมีทีมงานที่คอยติดตามปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนเพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนพอร์ตได้อย่างรวดเร็วให้สอดคล้องกับสถานการณ์อยู่เสมอ
สำหรับปี 2566 นี้ BlackRock มีมุมมองเชิงบวกต่อภาวะการลงทุนเช่นเดียวกันแม้ตลาดจะยังคงผันผวนจากทิศทางการปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่เชื่อว่ายังมีโอกาสที่ดีจากปัจจัยบวกอื่นๆ เช่น นโยบายด้าน ESG ของประเทศที่พัฒนาแล้วทำให้เกิดการลงทุนในธีมนี้เพิ่มมากขึ้น การเปิดประเทศของจีนจะส่งผลดีต่อประเทศในเอเชีย ทำให้กองทุนอาจแสวงหาโอกาสลงทุนในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น
สำหรับมุมมองของ บลจ.กรุงศรี ยังคงคำแนะนำให้นักลงทุนคงเงินลงทุนไว้ในกองทุนนี้เป็นหลักต่อไป เนื่องจากเป็นกองทุนที่กระจายความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม จึงช่วยลดความผันผวนได้พร้อมทั้งมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าตราสารหนี้ ซึ่งจากผลการดำเนินงานย้อนหลังที่ผ่านมากองทุนหลัก BGF ESG Multi-Asset สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้อย่างน้อย 5% ต่อปี เและในอนาคต บลจ.กรุงศรียังมีแผนที่จะจัดตั้งเป็นกองทุน SSF และ RMF สำหรับผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีและมองหาโอกาสของผลตอบแทนที่ดีบนความเสี่ยงที่เหมาะสม
ที่มา: BlackRock/Morningstar ณ 31 ธ.ค. 65 | ผลการดำเนินงานของกองทุนที่แสดงเป็นของ A2 accumulation share class | ผลการดำเนินงานของกองทุนที่แสดงคำนวณจากราคา NAV หักด้วยค่าธรรมเนียมการจัดการ 0.65% ต่อปี ในรูปสกุลเงิน USD โดยก่อนวันที่ 25 มี.ค. 62 กองทุนนี้ใช้ชื่อว่า BGF Flexible Multi-Asset Fund | ผลการดำเนินงานที่แสดงเป็นผลการดำเนินงานของกองทุนหลัก ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานการวัดผลการดำเนินงานของกองทุนรวมของ AIMC
นโยบายการลงทุนและคำเตือน
- KFCORE ลงทุนในหน่วยลงทุนกองทุนรวมต่างประเทศ BGF ESG Multi-Asset Fund, Class I2 Hedged USD (“กองทุนหลัก”) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่ต่ำกว่า 80% ของมูลค่า NAV กองทุน ซึ่งกองทุนนี้มีนโยบายกระจายการลงทุนเพื่อให้ได้โอกาสสร้างผลตอบแทนโดยรวมจากการลงทุนสูงสุด ตามหลักการลงทุนที่คำนึงถึงปัจจัยด้าน ESG โดยกองทุนจะลงทุนในตราสารทุน ตราสารหนี้ที่เปลี่ยนมือได้ (ซึ่งอาจรวมถึงตราสารหนี้ที่เปลี่ยนมือได้ที่ให้ผลตอบแทนสูง (High Yield)) หน่วยลงทุนของกองทุนรวม เงินสด เงินฝาก และตราสารตลาดเงินของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก | กองทุนมีระดับความเสี่ยงกองทุน 5 - เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง | ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
- เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูล แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือ และ ความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
- KFCORE ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
- ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ข้อมูลกองทุน KFCORE คลิกที่นี่
สอบถามข้อมูล/ ขอรับหนังสือชี้ชวนกองทุนได้ที่
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด โทร. 02-657-5757 หรือตัวแทนสนับสนุนการขายหน่วยลงทุน
ย้อนกลับ