กลยุทธ์ลงทุนหุ้นสหรัฐ เพื่อโอกาสเติบโตที่เหนือกว่า




บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงศรี จำกัด (บลจ.กรุงศรี) ร่วมกับ J.P. Morgan Asset Management บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชั้นนำระดับโลก จัดงานสัมมนาพิเศษในหัวข้อ  “Bridging the Gap: Passive Stability with Active Opportunity” แนะนำกองทุนใหม่ “KF-US-PLUS” (IPO 4 – 10 ก.พ. 68)  โดยกองทุนนี้สามารถใช้เป็นพอร์ตหลักสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ รับอานิสงส์จากนโยบายการค้าของ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะช่วยให้ภาคธุรกิจและหุ้นในดัชนี S&P 500 มีโอกาสเติบโตได้ในระยะกลางถึงยาว พร้อมด้วยกลยุทธ์การลงทุนเชิงรุกที่แตกต่างของกองทุนหลัก JPMorgan Funds - US Select Equity Plus Fund ภายใต้การบริหารของ J.P. Morgan Asset Management ซึ่งมีจุดเด่นเรื่องการคัดเลือกหุ้นรายตัว เพิ่มด้วยโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการผสมผสานกลยุทธ์ Long และ Short ในแต่ละช่วงเวลา บนเป้าหมายการรักษาความผันผวนให้ใกล้เคียงตลาด  แต่ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนเหนือดัชนี โดยกองทุนดังกล่าวมีประวัติผลตอบแทนอยู่เป็นอันดับต้นๆ ของกองทุนประเภท Active Fund ในตลาดหุ้นสหรัฐมาอย่างต่อเนื่อง



คุณเกียรติศักดิ์ ปรีชาอนุสรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการกองทุนทางเลือก บลจ.กรุงศรี กล่าวถึง จุดเด่นของกองทุน KF-US-PLUS ว่า เป็นกองทุนแบบ Active ที่มีประวัติการสร้างผลตอบแทนระยะยาวสูงกว่าดัชนี S&P 500 แต่มีความผันผวนใกล้เคียงกันเหมือนกองแบบ Passive ด้วยกลยุทธ์ที่สามารถปรับ Position การลงทุนในแต่ละอุตสาหกรรมให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาวะตลาดหากพิจารณาทั้งโอกาสและความเสี่ยงของหุ้นแต่ละตัวในแต่ละช่วงเวลา

คุณเกียรติศักดิ์กล่าวถึงตลาดหุ้นของสหรัฐภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ว่า มีโอกาสเติบโตได้ต่อไปเหมือนในครั้งที่แล้วที่ทรัมป์เข้ามาเป็นประธานาธิบดี และมีการคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะให้ผลตอบแทนที่ดี โดยมีปัจจัยที่จะสนับสนุนการเติบโต ได้แก่ นโยบายที่ส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมแม้จะมีนโยบายกีดกันทางการค้าและขึ้นกำแพงภาษี ที่ทำให้เกิดสงครามทางการค้าและทำให้ตลาดผันผวนทั่วโลกในขณะนี้ แต่จะส่งผลกระทบเพียงระยะสั้นโดยการมีนโยบายผ่อนคลายด้านการเงินและส่งเสริมอุตสาหกรรมต่างๆ จะช่วยให้ภาคธุรกิจมีต้นทุนที่ถูกลงมีการย้ายฐานการผลิตกลับเข้าในประเทศ เพื่อลดต้นทุนการผลิตและโอกาสรับผลประกอบการที่ดีขึ้น ภาพรวมของตลาดจึงมีแนวโน้มไปในทางที่ดีขึ้น ขณะที่โอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีน้อยมาก เพียง 15 - 20%* ส่วนภาวะเงินเฟ้อสหรัฐอาจจะได้รับผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ ส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอีกเพียง 0.5 - 1.0%** และเป็นแบบ one-time (*ที่มา: Bloomberg, 29 ม.ค. 68 | **Goldman Sachs Global Investment Research 26 ม.ค. 68)



ด้าน คุณ Christian Mariani ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนจาก J.P. Morgan Asset Management, US Equity Group กล่าวถึง กองทุนหลัก JPMorgan Funds - US Select Equity Plus Fund ว่าเป็นกองทุนรวมตราสารทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นสหรัฐอเมริกา โดยมีนโยบายการลงทุนเชิงรุก (Active) ที่มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวสูงกว่าดัชนี S&P 500 โดยกองทุนจะมีความโดดเด่นที่แตกต่างจากกองทุนอื่น โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักๆ ได้แก่ การมีทีมนักวิเคราะห์มากประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญในแต่ละอุตสาหกรรมมากกว่า 20 ปี ซึ่งสามารถวิเคราะห์และคัดเลือกหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยเน้นลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีความได้เปรียบในการแข่งขัน และมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในแต่ละอุตสาหกรรม ตลอดจนสามารถคาดการณ์ถึงโอกาสและความเสี่ยงของหุ้นแต่ละตัวในแต่ละช่วงเวลาได้เป็นอย่างดี จึงสามารถนำข้อมูลมาใช้ในการสร้าง Alpha หรือเพิ่มโอกาสในการเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน โดยสัดส่วนหลักของพอร์ตการลงทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นที่ผู้จัดการกองทุนเชื่อมั่นลักษณะเดียวกับกองทุนหุ้นทั่วไป แต่ยังมีกลยุทธ์การลงทุนส่วนเพิ่มโดยการเปิด Long Position เมื่อเห็นว่าหุ้นมีโอกาสเติบโตในระยะยาว และ Short Position เมื่อเห็นว่าหุ้นตัวใดมีแนวโน้มการเติบโตลดลง ด้วยกลยุทธ์ดังกล่าวทำให้กองทุนสามารถอาศัยประโยชน์จากการมีข้อมูลเชิงลึกในแต่ละหลักทรัพย์ได้อย่างเต็มที่ซึ่งสามารถช่วยสร้างโอกาสรับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นได้

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในส่วน Long-Short Portfolio นั้น ผู้จัดการกองทุนจะเน้นการคัดเลือกหลักทรัพย์รายตัวภายในอุตสาหกรรมเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ในกลุ่มสื่อ
ผู้จัดการกองทุนมีมุมมองเชิงบวกต่อสื่อสมัยใหม่ อย่าง Netflix, Amazon หรือ Walt Disney แต่มีมุมมองเชิงลบต่อหุ้นสื่อแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ ผู้จัดการกองทุนอาจพิจารณาจากแนวโน้มการเติบโตเชิงโครงสร้าง เช่น หุ้นอย่าง Intel ผู้ผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่มีแนวโน้มเติบโตลดลง หรือในช่วงการแพร่ระบาดของโควิดที่ผ่านมาที่ทำให้หุ้น Moderna พุ่งขึ้นมาอย่างมากแต่มีแนวโน้มลดลงเมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลายลง ก็จะทำการ Short แล้วนำเงินมาเพิ่มน้ำหนักในหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโต กลยุทธ์นี้ทำให้กองทุนสามารถมีผลการดำเนินงานชนะตลาดมาได้อย่างสม่ำเสมอ

หมายเหตุ: ข้อมูลข้างต้นเป็นตัวอย่างเพื่อประกอบการอธิบายเท่านั้น โดยไม่ได้หมายความถึงสัดส่วนการลงทุนจริงของกองทุน


ที่มา: J.P. Morgan Asset Management หมายเหตุ: ข้อมูลข้างต้นเป็นตัวอย่างเพื่อประกอบการอธิบายเท่านั้น

ในปัจจุบัน กองทุนถือหุ้นอยู่ประมาณ 260 บริษัท กระจายไปในทุกอุตสาหกรรม สำหรับหุ้น 5 อันดับแรกในพอร์ตของกองทุนที่มีน้ำหนักมากกว่าตลาดในปัจจุบันได้แก่ Mastercard, Hownet Aerospace, Wells Fargo, Amazon และ Lowe’s ซึ่งล้วนเป็นธุรกิจที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง กระแสเงินสดดีและมีแนวโน้มการเติบโตสูง ส่วนหุ้นที่อยู่ใน Short Position มากที่สุด 5 อันดับแรก จะเป็นหุ้นในกลุ่มเซมิคอนดัคเตอร์ สื่อและร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมที่ปรับตัวไม่ทันกับโลกยุคดิจิทัล

ที่มา: Wilshire J.P. Morgan Asset Management ณ 31 ธ.ค. 67 | 1 – น้ำหนักเปรียบเทียบกับดัชนี S&P 500 Index | 2 อ้างอิงตามการจัดหมวดหมู่กลุ่มอุตสาหกรรมของหุ้น พอร์ตการลงทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงเวลา | 3 - คำนวณจากการสัดส่วนรวมในหุ้น Alphabet ทั้งสองประเภทที่อยู่ในดัชนี S&P 500 Index

สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กองทุนมีผลตอบแทนเฉลี่ยเมื่อเทียบกับดัชนี S&P 500 มากกว่าถึง 3.25% แต่มีความผันผวนต่ำกว่ากอง Active fund อื่นๆ ที่มีความเสี่ยงสูงและผลตอบแทนต่ำกว่าดัชนี ทั้งนี้ ด้วยกลยุทธ์ Short Position ในหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตลดลง และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ทำให้แก้ปัญหาที่กองทุนส่วนใหญ่มีอัตราผลตอบแทนต่ำกว่าดัชนี ท่ามกลางความเสี่ยงที่สูงกว่า 
ที่มา: J.P. Morgan Asset Management ณ 31 ธ.ค. 67 โดยเป็นข้อมูลผลการดำเนินงานเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี • ผลการดำเนินงานที่แสดงเป็นผลการดำเนินงานของกองทุนหลัก ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานการวัดผลการดำเนินงานของกองทุนรวมของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน • ผลการดำเนินงานที่แสดงเป็นของหน่วยลงทุนชนิด C (acc) USD ในขณะที่กองทุน KF-US-PLUS จะลงทุนในหน่วยลงทุนชนิด I (acc) USD ซึ่งมีนโยบายการลงทุนเหมือนกัน • ผลการดำเนินงานที่แสดงคำนวณจากราคา NAV โดยนำเงินปันผล (ก่อนหักภาษี) กลับมาลงทุนต่อ ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่รวมค่าธรรมเนียมการซื้อขาย • การจัดอันดับดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดอันดับของสมาคมบริษัทจัดการลงทุนแต่อย่างใด

ท้ายที่สุดนี้ J.P. Morgan Asset Management และ บลจ.กรุงศรี มีความเชื่อมั่นว่าตลาดหุ้นสหรัฐในยุคประธานาธิบดีทรัมป์ จะมีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่องต่อไปแม้ว่าราคาหุ้นจะขึ้นมามากแล้วและตลาดยังมีความผันผวน คาดการณ์ว่ากองทุนจะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในปีนี้จากการที่อัตราดอกเบี้ยลดลง ทำให้สามารถซื้อหุ้นคุณภาพได้เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น กองทุนนี้จะช่วยเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถลงทุนในหุ้นสหรัฐได้แบบเต็มที่โดยไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงในการลงทุนในหุ้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากเกินไปนัก

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถซื้อกองทุน KF-US-PLUS ได้ทุกช่องทางทั้งออนไลน์ (Access Mobile หรือ @ccess Online) และที่สำนักงาน (บลจ.กรุงศรี/ สาขาธนาคารกรุงศรี/ ตัวแทนสนับสนุนการขาย) โดยกองทุนมีกำหนด IPO ระหว่าง 4 – 10 ก.พ. 68 (หลัง IPO ซื้อได้ 18 ก.พ. 68 เป็นต้นไป) ลงทุนขั้นต่ำเพียง 500 บาท (หน่วยลงทุนชนิด I ไม่มีขั้นต่ำ)

คำเตือน/นโยบายการลงทุน
  •  ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
  • KF-US-PLUS ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
  • เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูล แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือ และ ความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนกองทุนได้ที่
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด โทร. 0 2657 5757

ข้อมูล/แนะนำกองทุน KF-US-PLUS คลิก

ย้อนกลับ

@ccess Mobile Application

ทำรายการกองทุนสะดวกกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว