เติบโตอย่างยั่งยืน จากธีมการลงทุนในหุ้นยั่งยืนระดับโลก
17 สิงหาคม 2564 – สรุปสาระสำคัญจากงานสัมมนาออนไลน์ในหัวข้อ “ลงทุนสร้างความมั่งคั่ง จากหุ้นยั่งยืนระดับโลก” แนะนำโอกาสลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีทั่วโลกที่มีนวัตกรรมในการแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต สังคม สิ่งแวดล้อม และดำเนินธุรกิจตามแนวคิดด้านความยั่งยืน หรือ ESG พร้อมเปิดตัวกองทุน Krungsri Equity Sustainable Global Growth Fund (KFESG) ที่มีกองทุนชั้นนำระดับโลกที่เชี่ยวชาญการลงทุนในหุ้น ESG เป็นกองทุนหลักที่ได้คัดสรรหุ้นศักยภาพสูงทั่วโลกใน 3 ธีมธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนไว้ในพอร์ตลงทุน เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
บลจ. กรุงศรี ได้เชิญ
คุณ David Wong ผู้บริหารจาก AllianceBernstein Hong Kong Ltd. ซึ่งเป็นผู้บริหารกองทุนหลักของ KFESG และคุณเกียรติศักดิ์ ปรีชาอนุสรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนทางเลือก บลจ.กรุงศรี มาร่วมอธิบายเกี่ยวกับ
แนวคิดธุรกิจ ESG และความยั่งยืน โอกาสที่เปิดกว้างสำหรับการลงทุน ศักยภาพและปัจจัยผลักดันการเติบโต กลยุทธ์การคัดเลือกหุ้น พอร์ตการลงทุนในปัจจุบัน ผลตอบแทนที่ผ่านมา รวมถึงความคาดหวังในอนาคต
คุณเกียรติศักดิ์ กล่าวถึงกองทุน KFESG ว่าเป็นกองทุนที่ตอบโจทย์ความต้องการแก้ไขปัญหาด้านต่างๆ ที่ผู้คนทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ ทั้งวิกฤติโรคระบาด ปัญหาด้านสาธารณสุข สังคม สิ่งแวดล้อม ปัญหาความยากจน ปัญหาความเหลื่อมล้ำ และอีกนานัปการ อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางภาวะวิกฤติต่างๆ ที่เกิดขึ้น ก็เป็นโอกาสสำหรับธุรกิจที่มีนวัตกรรมในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ส่งผลถึงโอกาสในการลงทุนด้วยเช่นกัน
นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2563 เป็นต้นมา ทำให้ธุรกิจที่มีแนวคิดด้าน ESG และมีนวัตกรรมช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยหากนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด กองทุนหลักสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 58% โดยมีสถานการณ์โควิดเป็นปัจจัยเร่งที่ทำให้นักลงทุนให้ความสำคัญกับ ESG เพิ่มมากขึ้น สำหรับในปีนี้ กองทุนหลัก สามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า 15% แล้ว สูงกว่ากองทุนหุ้นทั่วโลกที่สร้างผลตอบแทนได้เพียง 13% และด้วยกระแสเงินทุนที่ยังคงไหลเข้ากองทุนหุ้น ESG อย่างต่อเนื่อง ทำให้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะเข้าลงทุนในธุรกิจตามแนวคิด ESG เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุนท่ามกลางสภาวะตลาดที่ยังมีความผันผวน
ที่มา: Morningstar, Goldman Sachs Global Investment Research ณ 22 ก.ค. 64
ที่มา: Bloomberg 11 ส.ค. 64
นอกจากวิกฤติโควิดที่เป็นปัจจัยเร่งให้เกิดการเติบโตของหุ้นกลุ่ม ESG แล้ว
อีกปัจจัยสำคัญมาจากการที่องค์การสหประชาชาติได้ได้เชิญชวน 193 ประเทศสมาชิกทั่วโลกทำความตกลงความร่วมมือเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals (SDGs) และช่วยกันขจัดปัญหาต่างๆ ให้หมดไป โดยได้กำหนดแนวทางไว้ 17 หัวข้อที่จะแก้ไขปัญหาด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งแนวทางดังกล่าวได้ถูกนำมาใช้เป็นกรอบการดำเนินงานของทั้งภาครัฐและธุรกิจเอกชนทั่วโลก มีการคาดการณ์ว่าเม็ดเงินลงทุนที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในปี 2030 นั้นมีมูลค่ามหาศาลถึง 90 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จึงเชื่อว่ากลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องจะได้รับประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุนดังกล่าวตามไปด้วย
ที่มา: https://sdgs.un.org/goals และ AB ณ มิ.ย. 64
คุณเกียรติศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า
เป้าหมายการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนทำให้เกิดโอกาสทางการลงทุนที่เปิดกว้างใน 3 ธีมธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้แก่ ด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate) ด้านสุขภาพ (Health) และด้านการเสริมสร้างบทบาทและความเท่าเทียม (Empowerment) ซึ่งทั้ง 3 ธีมดังกล่าวทำให้เกิดธุรกิจที่มีนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ ได้แก่ ด้านสภาพภูมิอากาศ ซึ่งธุรกิจที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ ได้แก่ ธุรกิจด้านพลังงานสะอาด การจัดการแหล่งวัตถุดิบ การรีไซเคิลและยานพาหนะที่ยั่งยืน (Sustainable Transportation) ด้านสุขภาพก็เป็นโอกาสสำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงการบริการด้านสาธารสุขและการแพทย์ การรักษาพยาบาล ความสะอาดปลอดภัยของอาหารและน้ำ นวัตกรรมที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิต และสุดท้ายคือการเสริมสร้างบทบาทและความเท่าเทียม (Empowerment) เป็นที่มาของโอกาสทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา บริการจัดหางาน ความมั่นคงทางการเงิน ด้านการสื่อสาร ICT และโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน เป็นต้น
ด้านคุณ David Wong กล่าวว่า AB Sustainable Global Thematic Portfolio Fund เป็นกองทุนระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญการลงทุนในธุรกิจที่ก่อให้เกิดผลเชิงบวกต่อสภาพแวดล้อมและสังคม โดยเป้าหมายของกองทุนคือการสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าดัชนีหุ้นโลก ทั้งนี้ กองทุนได้นำเอาแนวคิดด้าน ESG มาใช้เป็นแนวทางและเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการลงทุน
ในภาพกว้าง กองทุนจะพิจารณาว่าเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนนั้นสอดคล้องเกี่ยวข้องกับธุรกิจด้านใดบ้าง ซึ่งกองทุนได้แยกแยะออกมาได้ว่ามีสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องอยู่กว่า 140 ประเภท จากบริษัทมากกว่า 2,500 แห่งทั่วโลก หลังจากนั้น กองทุนได้กำหนดเกณฑ์การพิจารณาแต่ละหลักทรัพย์อย่างรอบด้านทุกรายละเอียด เริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ภาพรวมของธุรกิจ หลักการและวิธีการทำธุรกิจตามแนวคิด ESG การมีธรรมาภิบาลที่ดี ผู้บริหารให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม วิเคราะห์คู่แข่ง และขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ ยังพิจารณาในเรื่องของงบการเงิน โดยบริษัทนั้นจะต้องมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง งบการเงินที่ดี มีอัตราการเติบโตของผลกำไรอย่างต่อเนื่อง มีความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ช่วยให้เติบโตได้อย่างมั่นคง และที่สำคัญต้องยังอยู่ในระดับราคาที่เหมาะสม มีอัตราความเสี่ยงต่ำเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทน ด้วยวิธีการคัดกรองอย่างเข้มข้นดังกล่าว กองทุนได้คัดกรองจนเหลือบริษัทที่มีศักยภาพอยู่ 400 แห่ง และเลือกเฟ้นบริษัทที่มีคุณภาพดีที่สุด มีศักยภาพเติบโตสูงจำนวน 30 - 60 บริษัทมาไว้ในพอร์ตการลงทุน โดยกระจายการลงทุนไปใน 3 ประเภทธุรกิจที่สอดคล้องกับแนวคิด ESG และความยั่งยืน
ที่มา: AB ณ มิ.ย. 64 | *บริษัทที่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของ SDGs จะถูกนำออกจากการพิจารณาลงทุน ซึ่งรวมถึงบริษัทผู้ผลิตสินค้า/ บริการในกลุ่มแอลกอฮอล์, ถ่านหิน, การพนัน, สื่ออนาจาร, เรือนจำ, บุหรี่ และอาวุธ
หลักทรัพย์ที่เด่นๆ ในพอร์ตของกองทุน ได้แก่ บริษัท Labcorp ธุรกิจที่ทำให้คนเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ดียิ่งขึ้น มีอัตราการเติบโตต่อปีสูงถึง 23% และมีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในสหรัฐ รวมทั้ง บริษัท SVB Financial Group ธุรกิจที่ให้บริการด้านการเงินและเป็นที่ปรึกษาให้กับธุรกิจ Startup ที่อยู่ใน Silicon Valley มีอัตราการเติบโตประมาณ 28% ต่อปี และบริษัท Waste Management ดำเนินธุรกิจด้านการกำจัดขยะ และมีเทคโนโลยีระดับสูงด้านการรีไซเคิล เพื่อนำผลิตภัณฑ์กลับมาใช้ใหม่ สามารถสร้างความยั่งยืนให้สิ่งแวดล้อม ปัจจุบันมีอัตราการเติบโตปีละ 8% และมีแนวโน้มการเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งนี้ กองทุนมีการกระจายการลงทุน โดยจะไม่ให้น้ำหนักกับหลักทรัพย์ใดหลักทรัพย์หนึ่งมากเกินไป แต่จะกระจายความเสี่ยงไปอย่างเหมาะสม โดยกองทุนให้น้ำหนักการลงทุนในธุรกิจที่มีการนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นสัดส่วนที่มากที่สุด สำหรับสัดส่วนการลงทุนแบ่งตามรายภูมิภาคจะเน้นลงทุนในประเทศพัฒนาแล้วที่ 93.7% โดยเป็นการลงทุนในสหรัฐอเมริกา 61.9% และอีก 6.3% เป็นการลงทุนในประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ถึง 17% ของกองทุน (ที่มา: รายงานของบริษัท และ AB ณ มิ.ย. 64)
คุณ David กล่าวว่า กองทุน AB Sustainable Global Thematic Portfolio Fund มองหาหลักทรัพย์ที่มีโอกาสสร้าง IRR ประมาณ 12-15% และเชื่อว่าแนวทางการลงทุนภายใต้แนวคิดด้าน ESG จะช่วยสร้างการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่ธุรกิจพร้อมกับสร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว
คุณเกียรติศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงกองทุน KFESG ว่ามีความแตกต่างจากกองทุน KFCLIMA ที่ออกมาก่อนหน้านี้ที่เน้นเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศเป็นหลัก ขณะที่ KFESG จะมีนวัตกรรมที่สามารถตอบโจทย์และครอบคลุมหลากหลายด้านมากกว่า
ทั้งนี้ แนวคิด ESG จัดว่าเป็นเมกะเทรนด์ของธุรกิจที่กำลังจะเติบโตในระยะยาว และในระยะสั้นถึงระยะกลางนี้ก็ยังเป็นโอกาสที่ดีที่จะเข้าลงทุน เนื่องจากมีเม็ดเงินไหลเข้าอย่างต่อเนื่องแต่ไม่ร้อนแรงจนเกินไปทำให้กองทุนมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนชนะตลาดได้
สำหรับกองทุน KFESG เสนอขายช่วง 16 - 24 สิงหาคมนี้ เงินลงทุนขั้นต่ำเริ่มต้นที่ 500 บาทเท่านั้น ผู้สนใจสามารถซื้อกองทุนได้ที่สาขาธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือตัวแทนสนับสนุนการขาย และ บลจ. กรุงศรี ทุกช่องทาง (@ccess Online และ @ccess Mobile) โดยบลจ.กรุงศรี จัดโปรโมชั่นพิเศษคือ เมื่อลงทุนทุกๆ 100,000 บาทใน KFESG-A ในช่วง IPO นักลงทุนจะได้รับเพิ่มหน่วยลงทุนกองทุน KFESG-A มูลค่า 100 บาท (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด)
ข้อมูลกองทุน/โปรโมชั่น คลิกที่นี่
นโยบายการลงทุนและคำเตือน
- KFESG แบ่งเป็น 2 ชนิดหน่วยลงทุน คือ กองทุนเปิดกรุงศรี Equity Sustainable Global Growth – สะสมมูลค่า (KFESG-A) และ กองทุนเปิดกรุงศรี Equity Sustainable Global Growth – ผู้ลงทุนสถาบัน (KFESG-I)
- ทั้ง 2 ชนิดหน่วยลงทุนลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศชื่อ AB Sustainable Global Thematic Portfolio, Class S1 USD (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV กองทุน โดยกองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในตราสารทุนของบริษัทต่างๆ ทั่วโลกที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Corporate Governance : ESG) ซึ่งมีความน่าสนใจลงทุนและสอดคล้องกับธีมการลงทุนแบบยั่งยืนมากที่สุด
- กองทุนมีความเสี่ยงระดับ 6 - เสี่ยงสูง | ป้องกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน (ไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ) ซึ่งอาจมีต้นทุนสำหรับการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว โดยทำให้ผลตอบแทนของกองทุนโดยรวมลดลงเล็กน้อยจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
- ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
สามารถสอบถามรายละเอียดข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่
บลจ.กรุงศรี จำกัด โทร. 02-657-5757 หรือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา
ย้อนกลับ