ตลาดหุ้นจีนใหญ่เกินกว่าจะมองข้าม


ดร. ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารความเสี่ยงด้านการลงทุน บลจ.กรุงศรี จำกัด


ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนได้รับผลกระทบอย่างมากจากปัญหาความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน นอกจากนี้ การที่รัฐบาลจีนมีมาตรการต่างๆในหลายๆด้าน เช่น มาตรการควบคุมมลพิษ มาตรการควบคุมการก่อหนี้ของภาคอสังหาริมทัพย์ และล่าสุดคือมาตรการควบคุมธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ล้วนส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลง

ทั้งนี้ มาตรการต่างของรัฐบาลจีนเริ่มส่งผลกระทบมากขึ้น โดยมาตรการควบคุมการก่อหนี้ของภาคอสังหาริมทรัพย์ส่งผลให้บริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยเงินกู้ได้ตามกำหนด เนื่องจากประสบปัญหาสภาพคล่อง ในขณะที่ มาตรการควบคุมมลพิษส่งผลให้จีนประสบปัญหาขาดแคลนไฟฟ้า โดยบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าจำเป็นต้องหยุดจ่ายกระแสไฟฟ้าเป็นช่วงๆเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยมลพิษของรัฐบาล  สำหรับมาตรการควบคุมธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีส่งผลกระทบต่อหุ้นบางบริษัทของจีนในทันที เช่น หุ้นบริษัท TAL Education ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจติวเตอร์ออนไลน์ ร่วงลงกว่า 90% ในปีนี้ หลังรัฐบาลจีนประกาศห้ามภาคเอกชนให้บริการติวเตอร์ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์แก่นักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงมัธยมต้น เพื่อไม่ให้ผู้ปกครองต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้

อย่างไรก็ดี รัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐได้ผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้ากับจีนลง และในช่วงก่อนหน้านี้ ปัญหาสงครามการค้าก็ไม่สามารหยุดยั้งการเติบโตของเศรษฐกิจจีน โดยอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนยังคงมีแนวโน้มที่จะส่งผลให้จีนเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแซงหน้าสหรัฐในปี 2028 ในขณะที่ปัญหาวิกฤตหนี้ของบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป คาดว่าจะส่งผลกระทบในวงจำกัดและสามารถควบคุมได้ และหนี้สินในจีนส่วนใหญ่เป็นหนี้ในประเทศซึ่งสามารถบริหารจัดการได้เช่นกัน สำหรับปัญหาการขาดแคลนพลังงานและมาตรการควบคุมธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยียังคงต้องรอดูผลกระทบต่อไป

สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นจีน นักลงทุนต่างชาติยังคงมีสัดส่วนอยู่ในระดับต่ำมาก เนื่องจากน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นจีนในดัชนี MSCI ยังคงอยู่ในระดับต่ำ จากปัญหาข้อจำกัดที่รัฐบาลจีนจำกัดการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นจีน อีกทั้งนักลงทุนไม่มั่นใจในความโปร่งใสของบริษัทจีน และกังวลเกี่ยวกับการแทรกแซงของรัฐบาลทั้งในส่วนของธุรกิจและการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น 

อย่างไรก็ดี ด้วยขนาดและการเติบโตของเศรษฐกิจ จำนวนประชากร และขนาดของตลาดหุ้นจีน ส่งผลให้นักลงทุนไม่ควรมองข้ามตลาดหุ้นจีน ทั้งนี้ จีนได้เปลี่ยนผ่านจากเน้นการเติบโตจากการส่งออกเป็นเติบโตจากการบริโภคภายในประเทศ ส่งผลให้การบริโภคเพิ่มเป็น 54% ของจีดีพี โดยชนชั้นกลางของจีนปัจจุบันมีอยู่ราว 200 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 500 ล้านคนในปี 2029 ซึ่งจะส่งผลให้การบริโภคในจีนเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าจีนจะกลายเป็นประเทศที่มีการบริโภคสูงที่สุดในโลกแทนที่สหรัฐในช่วงกลางทศวรรษหน้า 

สำหรับในแง่ขนาดของตลาดหุ้น ดัชนีตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ (A-share) มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก มีมูลค่าตลาดราว 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และดัชนีของบริษัทที่ทำธุรกิจและจดทะเบียนในจีนแผ่นดินใหญ่แต่จดทะเบียนในตลาดฮ่องกง (H-share) มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก แต่มีสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นโลกเพียง 5.5% เมื่อเทียบกับสหรัฐที่มีสัดส่วนอยู่สูงถึง 57% สะท้อนว่านักลงทุนทั่วโลกยังคงถือครองหุ้นจีนในสัดส่วนที่ต่ำเกินไป ทั้งนี้ รัฐบาลจีนทยอยผ่อนคลายกฏระเบียบต่างๆให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้าลงทุนจีนได้มากขึ้น และคาดหวังจะพัฒนาตลาดหุ้นจีนให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นจีนมากขึ้น

นอกจากนี้ การลงทุนในหุ้นจีนส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในกลุ่มหุ้นที่มีชื่อเสียง เช่น หุ้นในกลุ่มอีคอมเมิร์ซ หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยี เป็นต้น ในขณะที่จีนมีบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อยู่มากกว่า 5,200 บริษัท ซึ่งสูงกว่าสหรัฐ และในช่วงตั้งแต่สิ้นปี 2008 ถึงเดือนพฤษภาคมปีนี้ มีบริษัทใหม่ราว 900 บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นจีน โดยมีบริษัทจีนจำนวนมากในหลากหลายธุรกิจ เช่น บริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพ บริษัทด้านการแพทย์ บริษัทด้านเทคโนโลยีทางการเงิน เป็นต้น ซึ่งจีนมีความโดดเด่นเป็นอย่างมากในการพัฒนาด้านต่างๆเหล่านี้ แต่หุ้นของบริษัทเหล่านี้ยังคงไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างเพียงพอ จึงมีโอกาสที่หุ้นเหล่านี้จะสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคต

ด้วยเหตุนี้ การลงทุนในตลาดหุ้นจีนจึงมีความน่าสนใจอย่างมาก อย่างไรก็ดีควรเลือกลงทุนในกองทุนที่มีการบริหารแบบ active management เนื่องจากหุ้นจีนมีจำนวนมากและมีความสามารถในการสร้างผลตอบแทนที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้นจีนจะต้องสามารถรับความเสี่ยงได้สูงมาก เนื่องจากตลาดหุ้นจีนมีความผันผวนสูง รัฐบาลอาจเข้าแทรกแซงธุรกิจและตลาดหุ้นได้ตลอดเวลา รวมถึงมาตรการทางเศรษฐกิจซึ่งอาจส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อผลประกอบการของบริษัทต่างๆ และความขัดแย้งทางการเมืองและการค้ากับประเทศอื่นๆอาจส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นจีน ดังนั้น หากนักลงทุนไม่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงมากก็อาจไม่เหมาะที่จะลงทุนในตลาดหุ้นจีนเพียงเพราะคาดหวังถึงโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูง

ย้อนกลับ

@ccess Mobile Application

ทำรายการกองทุนสะดวกกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว