สัมมนา A Year in Review – Define Portfolio with Experts’ Top Picks



บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงศรี จำกัด ร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชั้นนำระดับโลกจัดสัมมนาพิเศษในหัวข้อ “A Year in Review – Define Portfolio with Experts’ Top Picks.” โดยมีผู้เชี่ยวชาญในการบริหารสินทรัพย์ประเภทต่างๆ มาร่วมกันให้มุมมองถึงภาวะตลาดในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต พร้อมแนะทางเลือกการลงทุนที่เหมาะกับสภาวะตลาดที่ยังคงมีความท้าทายและผันผวนจากหลากหลายปัจจัยเสี่ยง อาทิ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย เงินเฟ้อ การขึ้นอัตราดอกเบี้ย ค่าเงิน  นอกจากนี้ ยังได้แนะนำแนวทางการลงทุนด้วยกลยุทธ์การคัดเลือกสินทรัพย์ที่ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงมากเกินไป แต่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นจากปัจจัยกระตุ้นต่างๆ เช่น การขึ้นดอกเบี้ย หรือมาตรการจากภาครัฐ ปิดท้ายด้วยการวิเคราะห์ตลาดหุ้นจีนและเวียดนามซึ่งเป็นตลาดที่ยังคงมีศักยภาพเติบโตขึ้นได้อีกมากในอนาคต 
วิทยากรในงานสัมมนาครั้งนี้ได้แก่ 
  • คุณ Tina Adatia จาก PIMCO กองทุนที่มึความเชี่ยวชาญในการลงทุนตราสารหนี้ทั่วโลกและเป็นผู้จัดการกองทุนหลักของ KF-TRB
  • คุณ Mark Fuszard จาก Blackrock บริษัทจัดการกองทุนระดับโลกที่บริหารกองทุน BGF ESG Multi-Asset Fund ซึ่งเป็นกองทุนหลักของ KFCORE โดยมีกลยุทธ์กระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท รวมทั้ง หุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ
  • คุณ Melanie Wong จาก UBS Asset Management ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในตลาดหุ้นจีน และเป็นผู้จัดการกองทุนหลักของ KFACHINA
  • คุณ Anis Tiasiri จาก JP Morgan Asset Management ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม และเป็นหนึ่งในกองทุนหลักของ KFVIET
  • คุณเกียรติศักดิ์ ปรีชาอนุสรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนทางเลือก บลจ. กรุงศรี

Session 1: Seeking Shelter in Volatile Market

คุณเกียรติศักดิ์ กล่าวว่า ภาวะการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ตลาดค่อนข้างมีความผันผวนโดยเฉพาะจากประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) เพื่อสกัดเงินเฟ้อและความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย ตลาดจึงมีการปรับฐานค่อนข้างแรง แต่จากตัวเลขทางเศรษฐกิจล่าสุดของ Bloomberg Consensus ชี้ให้เห็นอัตราการว่างงานที่ลดลง เงินเฟ้อลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ FED มีแนวโน้มที่อาจจะหยุดการขึ้นดอกเบี้ย ทั้งยังมีการปรับตัวเลข GDP เพิ่มขึ้นจาก 1% เป็น 2.1% และผลประกอบการที่ดีขึ้นตั้งแต่ต้นปี ทำให้เชื่อว่าเศรษฐกิจจะไม่เข้าสู่สภาวะถดถอยอย่างที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ และตลาดหุ้นได้ตอบรับข่าวร้ายเหล่านี้ไปค่อนข้างมากแล้ว เชื่อว่าหลังจากนี้การลงทุนจะเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น และตลาดไม่น่าจะปรับการปรับฐานหนักๆ เหมือนช่วงที่ผ่านมา จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุน

ที่มา: Bloomberg, Goldman Sachs Global Investment Research ณ 6 ก.ย. 66

การลงทุนในตราสารหนี้
การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED ส่งผลกระทบค่อนข้างมากต่อตลาดหุ้น แต่ในช่วงที่การปรับขึ้นดอกเบี้ยใกล้ถึงจุดสูงสุดจะเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ คุณ Tina Adatia จาก PIMCO ชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นสูงมากในตลาดที่พัฒนาแล้ว ทำให้เงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง คาดว่าธนาคารจะเริ่มหยุดขึ้นดอกเบี้ยแล้วหรือขึ้นอีกได้ไม่มากนัก ทำให้การลงทุนในตราสารหนี้ในสภาพตลาดที่ดอกเบี้ยจะขึ้นสู่จุดสูงสุดจะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้เพิ่มขึ้นจากระดับอัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนที่ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างสูง โดยมีความเสี่ยงค่อนข้างจำกัด สินทรัพย์อย่างตราสารหนี้สามารถใช้เป็นการลงทุนเพื่อหลบภัยจากตลาดที่ผันผวนและมีความไม่แน่นอนอยู่สูง และยังมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนได้ดี หากลงทุนเป็นระยะเวลายาวพอประมาณ ไม่น้อยกว่า 6 - 12 เดือน
สำหรับกลยุทธ์ในการลงทุนตราสารหนี้ PIMCO จะคัดเลือกสินทรัพย์ที่จะเข้าลงทุน โดยพิจารณาจากสภาวะตลาดและการลงทุน ซึ่งในปัจจุบันนี้ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับสูง ทำให้กองทุนจะพิจารณาลงทุนในตราสารที่มีอายุยาวๆ เพื่อล็อคผลตอบแทนไว้ในระยะยาว ทั้งนี้ PIMCO ยังมองว่าตราสารหนี้ที่น่าสนใจในขณะนี้ ได้แก่ Agency- Mortgage Back Securities (MBS) ซึ่งเป็นตราสารทางการเงินอย่างหนึ่งที่มีการรับประกันโดยรัฐบาล โดย PIMCO เชื่อว่าจะเป็นจะตราสารหนี้คุณภาพสูงที่ค่อนข้างปลอดภัย มีความเสี่ยงต่ำ และยังอยู่ในระดับราคาที่ถูก เหมาะสมต่อการลงทุน 

ที่มา: Bloomberg, PIMCO ณ 31 ส.ค. 66 | ดัชนีที่เป็นตัวแทนอ้างอิงในแต่ละกลุ่ม: Agency MBS: Bloomberg MBS Fixed Rate Index, Munis: Bloomberg Municipal Bond Index, U.S. Core: Bloomberg U.S. Aggregate, Global Agg: Bloomberg Global Aggregate USD Hedged, HY Credit: ICE BofAUS HY BB-B Rated Index, EM: JPMorgan EMBI Global USD Hedged, IG Credit: Bloomberg US Credit Index. * AAA-Securitized YTW คำนวณจากค่าเฉลี่ยของ AAA CLOs, CMBS และ ABS จาก JPMorgan และ Barclays. Municipal yields เป็นอัตราผลตอบแทนหลังภาษี โดยอ้างอิงจากอัตราภาษีที่สูงที่สุดที่ 40.8%. Unadjusted IG Muni index yield คือ 3.81% ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลง 275bps เมื่อเทียบกับ 31 ธ.ค. 64 

ทั้งนี้ กองทุน PIMCO Total return Bond Fund ที่บริหารโดย PIMCO จะเน้นลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีทั่วโลก และสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่คาดหวัง ควรเป็นการลงทุนระยะยาวอย่างน้อย 6 - 12 เดือน ที่ผ่านมา กองทุนก็สามารถสร้างผลตอบแทนชนะตลาดได้อย่างน่าพอใจ

การลงทุนใน Multi-Assets 
คุณ Mark Fuszard จาก Blackrock เห็นด้วยว่า ตราสารหนี้เป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนในช่วงที่ดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง แต่กองทุน BGF ESG Multi-Asset Fund ก็ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้นด้วย โดยเชื่อว่าการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงในหลากหลายสินทรัพย์จะตอบโจทย์การลงทุนได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ของตลาดในแต่ละช่วง ทั้งนี้ กองทุนจะมีบริหารพอร์ตกองทุนแบบเชิงรุกและยืดหยุ่นเพื่อให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาวะของตลาดในแต่ละช่วง

ที่มา: BlackRock ณ 31 ส.ค. 66 โดยเป็นข้อมูลเพื่อประกอบการอธิบายเท่านั้น | สัดส่วนการลงทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคตตามสภาวะตลาดและโอกาสการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป | สัดส่วนการลงทุนข้างต้นอาจไม่เท่ากับพอร์ตการลงทุนในปัจจุบันหรือในอนาคต

ในอดีตที่ผ่านมา พอร์ตของกองทุนมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นอยู่ 40 - 65% ซึ่งกองทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่เป็นหลักเพื่อป้องกันความเสี่ยง และจะคัดเลือกเฉพาะบริษัทที่ใช้หลักการ ESG ในการดำเนินงานเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว สำหรับตราสารหนี้มีสัดส่วนอยู่ที่  20 - 40% ผู้เชียวชาญกล่าวว่าในช่วงนี้ กองทุนจะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ และตราสารหนี้ภาคเอกชนระดับ Investment Grade คุณภาพสูง เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่จะทำผลตอบแทนได้ดีในช่วงที่ดอกเบี้ยสูงและกลยุทธ์ของกองทุนคือเน้นถือตราสารหนี้ที่มีอายุยาวๆ เป็นการล็อคผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวและเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลงผลตอบแทนของตราสารหนี้ก็จะเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีโอกาสที่จะได้ Capital Gain เพิ่มขึ้นอีกด้วย สำหรับสินทรัพย์ทางเลือกอย่างเช่น REIT ซึ่งราคาลดลงมามากๆมีโอกาสที่จะกลับไปสู่ราคาค่าเฉลี่ยได้ กองทุนก็ให้ความสนใจ
ปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการมีทีมผู้เชียวชาญที่จะเลือกธีมการลงทุนในภาพใหญ่ และมีทีมที่ทำการคัดเลือกสินทรัพย์อย่างเข้มข้น นอกจากนี้ กองทุนยังมีสัดส่วนเงินสดอยู่อีก 20% เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนถอดการลงทุนได้อย่างทันท่วงที

Session 2: China and Vietnam Outlook: Hope for the Best, Prepare for the Worst
บลจ.กรุงศรี ชี้ว่า ตลาดหุ้นที่น่าสนใจในการลงทุนนับจากนี้ได้แก่ตลาดหุ้นเวียดนามและตลาดหุ้นจีน ทั้งสองตลาดยังอยู่ในระดับราคาที่ค่อนข้างต่ำ แต่ก็มีความแตกต่างในเรื่องของปัจจัยพื้นฐานและโอกาสการเติบโตที่แตกต่างกันไป

ด้านตลาดหุ้นจีน แม้บรรยากาศการลงทุนในปัจจุบันอาจดูไม่ดีนักและยังมีความผันผวนสูง แต่ UBS Asset Management ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนหุ้นจีน เชื่อว่าตลาดใกล้จะถึงจุดต่ำสุดในไม่ช้าเนื่องจากมีสัญญาณหลายอย่างที่มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีขึ้น การบริโภคเพิ่มมากขึ้น ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวดีขึ้น คนจีนมีการเดินทางเที่ยวภายในประเทศเพิ่มมากขึ้นทำให้เกิดการกระตุ้นทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้มีตัวเลข PMI ที่ดีขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าภาคการผลิตเริ่มฟื้นตัว เชื่อว่าในไตรมาส 3 และ 4 ตลาดจีนน่าจะมีข่าวดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เมื่อใดที่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาทำให้คนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นจะทำให้ตลาดหุ้นกลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว 

ที่มา: UBS Asset Management ณ 31 ส.ค. 66

สำหรับกลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นเพื่อเข้าลงทุนในตลาดหุ้นจีนนั้น กองทุนมองหาบริษัทที่ทำกำไรได้สูงแม้ในช่วงที่ตลาดยังไม่สดใสมากนัก อย่างเช่นหุ้นบริษัท Kweichow Maotai ผู้ผลิตสุราแบรนด์พรีเมี่ยมของจีนซึ่งมียอดขายที่เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง หรือเป็นมีโอกาสเติบโตขยายตลาดไปทั่วโลก เช่น บริษัท NetEase ผู้เล่นระดับโลกทางด้านเกมออนไลน์ รวมทั้งบริษัทที่มีโอกาสจะเป็นผู้นำตลาดในอนาคต ทั้งนี้ปัจจุบันกองทุนให้น้ำหนักการลงทุนในภาคการบริโภคที่เป็นสินค้าพรีเมียม ค้าปลีก หรือภาคการเงินอย่าง ธนาคารและประกันภัย และธุรกิจ Healthcare โดยเลือกบริษ้ทที่มีนวัตกรรมจาก R&D ของตัวเอง เป็นต้น

ที่มา: UBS Asset Management ณ 31 ส.ค. 66

ด้านตลาดหุ้นเวียดนาม คุณ Anis Tiasiri จาก JP Morgan กล่าวว่า ปีที่แล้ว ตลาดเวียดนามมีการปรับฐานแรงจากการที่มีการเก็งกำไรในตลาดหุ้นและรัฐบาลมีมาตรการควบคุมการเก็งกำไร ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ธนาคารกลางสหรัฐมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทำให้กระทบกับการส่งออก และทำให้ตลาดหุ้นมีการปรับฐานค่อนข้างแรง แต่ในปีนี้ ตลาดมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 20 % แล้ว ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ตัวเลขทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาดีขึ้นเนื่องจากรัฐบาลผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ เช่นมาตรการลดดอกเบี้ยจาก 6% เหลือ 4.5% หรือการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการเก็งกำไรทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น และการที่เวียดนามไม่มีวิกฤตเงินเฟ้อ ทำให้รัฐบาลสามารถลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ซึ่งขณะนี้ภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกของเวียดนามได้เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นแล้วตลาดหุ้นเวียดนามปีนี้จึงค่อนข้างดี
สำหรับเรื่องวิกฤติหนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์นั้น JP Morgan มองว่าเป็นปัญหาภายในประเทศที่เจรจาแก้ปัญหากันเองได้และเวียดนามแทบไม่มีเกิดการผิดนัดชำระหนี้ จึงเป็นปัญหาที่ควบคุมได้ ส่วนเรื่องสภาพคล่องนั้น เนื่องจากการที่ตลาดหุ้นเวียดนามเป็นตลาดชายขอบ (Frontier Market) ซึ่งเป็นตลาดขนาดเล็กทำให้ตลาดมีความผันผวนสูง ปีนี้สภาพคล่องเริ่มมีการฟื้นตัวมีเงินไหลเข้าในตลาดหุ้นมากเมื่อตลาดมีการปรับฐาน หุ้นที่ไม่มีคุณภาพจะตกลงแรง 
กลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามของ JP Morgan จึงเน้นไปที่การคัดเลือกสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูงโดยกองทุนจะแบ่งหุ้นออกเป็น 4 ประเภทได้แก่ Premium Stock, Quality Stock, Trading Stock และ Challenging Stock โดยให้น้ำหนักมากสุดใน Quality Stock โดยเฉพาะที่เป็นบริษัทขนาดกลางที่มีศักยภาพการเติบโตสูง หลังจากนั้น กองทุนจะคัดกรองหุ้น โดยพิจารณาจากบริษัทที่มี ROE สูง มีเงินปันผลสูง และมีคุณภาพสูง
ปัจจุบัน พอร์ตการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม ประกอบด้วยหุ้นที่เด่นๆ ออกมาและลงทุนใน 20 ถึง 30 บริษัทโดยหุ้นเด่นๆ ที่อยู่ในพอร์ตการลงทุนได้แก่ บริษัท FPT Corporation บริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่สุดในเวียดนาม บริษัท MWG หรือ Mobile World Investment Corporation ผู้นำธุรกิจค้าปลีกและจัดจำหน่ายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม และบริษัท Gemadept บริษัทโลจิสติกส์ชั้นนำของเวียดนาม เป็นต้น ด้วยวิธีการคัดหุ้นนี้ทำให้ JP Morgan สามารถทำผลตอบแทนชนะตลาดได้เป็นอย่างดี

ที่มา: J.P. Morgan Asset Management ณ 30 มิ.ย. 66. | ดัชนีชี้วัด คือ MSCI Vietnam IMI Capped Index ในรูปสกุลเงิน USD | พอร์ตการลงทุนและการกระจายการลงทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน

4 กองทุนแนะนำจากสัมมนา
ชื่อกองทุน* กองทุนหลัก บริหารจัดการโดย
KFTRB PIMCO Total Return Bond Fund PIMCO
KFCORE BGF ESG Multi-Asset Fund Blackrock
KFACHINA UBS (Lux) Investment SICAV - China A Opportunity Fund UBS Asset Management
KFVIET JP Morgan Vietnam Opportunities Fund JP Morgan Asset Management
*ดูรายละเอียดกองทุนที่ด้านล่าง
**KFVIET ยังมีลงทุนผ่านกองทุนหลักอีกสองกองทุน ได้แก่ Xtrackers FTSE Vietnam Swap UCITS ETF บริหารจัดการโดย Deutsche Asset Management และ Lumen Vietnam Fund บริหารจัดการโดย IFM Independent Fund Management AG


คำเตือน
  • เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ทั่วไป โดยจัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูล แต่บริษัทมิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือ และความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
  • กองทุน KFTRB ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน
  • กองทุน KFACHINA, KFCORE และ KFVIET ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
  • ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนกองทุนได้ที่
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด โทร. 02-657-5757
 
พบทุกคำตอบเรื่องเงินที่ Krungsri The Coach คลิกที่นี่ 






 



ข้อมูลกองทุน KFTRB-A คลิก

ข้อมูลกองทุน KFCORE คลิก

ข้อมูลกองทุน KFACHINA-A คลิก

ข้อมูลกองทุน KFVIET-A คลิก

ย้อนกลับ

@ccess Mobile Application

ทำรายการกองทุนสะดวกกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว