เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยต่อ หรือพอแค่นี้?
ดร. ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารความเสี่ยงด้านการลงทุน บลจ.กรุงศรี จำกัด
การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา คณะกรรมการมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 5.25 – 5.50% ตามคาด ซึ่งเป็นการคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน โดยนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดระบุว่า เฟดยังไม่ปิดโอกาสในการขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติม
อย่างไรก็ดี
เฟดประเมินว่าตลาดการเงินและสินเชื่อมีความตึงตัวมากขึ้น และเห็นสัญญาณการชะลอลงของอัตราเงินเฟ้อ ตลาดแรงงาน และภาวะเศรษฐกิจ
โดยเฟดจะใช้ความระมัดระวังในการพิจารณาดำเนินนโยบายการเงิน เพื่อให้มั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่ระดับเป้าหมายของเฟดที่ 2% ทั้งนี้ ประธานเฟดส่งสัญญาณว่า dot plot ของเฟดที่บ่งชี้ว่า คณะกรรมการส่วนใหญ่คาดว่าอาจมีการประกาศขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้ อาจไม่เป็นไปตามที่คาด กล่าวคือ
เฟดอาจไม่ประกาศขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปีนี้ พร้อมทั้งระบุว่า dot plot เป็นเพียงการคาดการณ์และไม่ใช่แผนในการขึ้นดอกเบี้ยที่จะต้องปฏิบัติตาม
การที่เฟดคงอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง กอปรกับความเห็นของเฟดเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมดูเหมือนมีน้อยลง
ส่งผลให้นักลงทุนมองว่า เฟดน่าจะยุติวงจรการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว
ทั้งนี้
ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นแรง และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลดลง ตอบรับความคาดหวังของนักลงทุนว่าอัตราดอกเบี้ยของเฟดอาจอยู่ที่จุดสูงสุดแล้ว ในขณะที่นักลงทุนบางส่วนเริ่มคาดหวังว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด อย่างไรก็ดี จากการที่เฟดยังไม่ได้ระบุชัดเจนถึงการยุติการขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้นักลงทุนกลับมากังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางดอกเบี้ยในอนาคต
การที่ตลาดยังไม่แน่ใจว่าเฟดจะยุติการขึ้นดอกเบี้ยจริงหรือไม่ ส่งผลให้ตลาดการลงทุนกลับมาผันผวนอีกครั้ง ดังนั้น การประเมินถึงความเป็นไปได้ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมหรือไม่ จึงมีส่วนสำคัญในการพิจารณาประกอบการลงทุนในช่วงนี้
ในด้านเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่เฟดตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง เมื่อพิจารณาจากดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน (core PCE) ซึ่งเป็นดัชนีที่เฟดใช้วัดเงินเฟ้อ ปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดที่ 5.6% เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565 สู่ 3.7% เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา สะท้อนว่าเงินเฟ้อชะลอตัวลงมามาก นอกจากนี้ แรงกดดันเงินเฟ้อที่มาจากการปรับขึ้นของค่าแรง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทรงตัวอยู่ในระดับสูง เริ่มมีสัญญาณชะลอลงต่อเนื่อง โดยในช่วงก่อนหน้านี้ ค่าจ้างแรงงานโดยเฉพาะในภาคบริการ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากภาคบริการฟื้นตัวหลังสิ้นสุดการระบาดของโควิด ส่งผลให้มีความต้องการแรงงานมากขึ้นในขณะที่ จำนวนแรงงานในภาคบริการฟื้นตัวช้า เนื่องจากแรงงานบางส่วนเปลี่ยนอาชีพหลังจากที่ได้รับผลกระทบรุนแรงในช่วงที่มีการล็อคดาวน์ และแรงงานบางส่วนเปลี่ยนไปหางานที่สามารถทำงานจากที่บ้านได้ ทั้งนี้ รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมของสหรัฐในเดือนตุลาคมบ่งชี้ว่า การจ้างงานเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาด และค่าจ้างแรงงานต่อชั่วโมงเพิ่มขึ้น 4.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เทียบกับเมื่อช่วงต้นปี 2565 ที่เพิ่มขึ้นเกือบ 6% และชะลอลงจากเพิ่มขึ้น 4.3 – 4.7% ในช่วง 9 เดือนแรก โดยที่การจ้างงานในภาคสันทนาการลดลง และค่าจ้างแรงงานในภาคบริการชะลอลง บ่งชี้ว่า แรงกดดันเงินเฟ้อที่มาจากค่าจ้างแรงงานทั้งภาคการผลิตและภาคบริการลดลง อย่างไรก็ดี ต้องติดตามดูการจ้างงานและการใช้จ่ายในช่วงก่อนเทศกาลวันหยุดช่วงปลายปี เช่น Thanksgiving (23 พฤศจิกายน) Black Friday (24 พฤศจิกายน), และคริสต์มาส (25 ธันวาคม) ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด เพราะจะเป็นช่วงที่ชาวอเมริกันออกมาใช้จ่ายมากกว่าปกติ จึงอาจมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น และค่าจ้างแรงงานในช่วงดังกล่าวอาจปรับตัวสูงขึ้นชั่วคราว
นอกจากปัจจัยเกี่ยวกับเงินเฟ้อ สิ่งที่ต้องติดตามคือ แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งหากมีสัญญาณชะลอลง ก็จะมีความเป็นไปได้มากขึ้นที่เฟดอาจยุติการขึ้นดอกเบี้ยถึงแม้เงินเฟ้อกลับมาปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะส่งผลให้ความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง และส่งผลให้ราคาสินค้ามีแนวโน้มปรับตัวลดลงระยะถัดไป ทั้งนี้ ดัชนีชี้นำภาคการผลิตและภาคบริการบ่งชี้ว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐชะลอตัวลง และตัวเลข GDPNow ที่จัดทำโดยธนาคารกลางสหรัฐ สาขาแอตแลนต้า ที่ประเมินเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาส 4/66 อาจขยายตัว 2.1% ชะลอลงจากรายงานเบื้องต้นที่ระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 4.9% ในไตรมาส 3/66
ดังนั้น
เมื่อพิจารณาจากข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับเงินเฟ้อและแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ โอกาสที่เฟดจะประกาศขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปีนี้จึงมีไม่มาก อย่างไรก็ดี ตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขที่เกิดขึ้นในช่วง 1 – 2 เดือนที่ผ่านมา จึงยังไม่อาจสร้างความมั่นใจให้กับคณะกรรมการเฟดว่าเงินเฟ้อกำลังปรับเข้าสู่ระดับเป้าหมาย คณะกรรมการเฟดจึงรอดูข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจว่า เฟดได้บรรลุเป้าหมายในการจัดการกับเงินเฟ้อแล้ว
ดังนั้น การลงทุนในระยะสั้นๆ นี้ จึงยังคงมีแนวโน้มผันผวนจนกว่าเฟดจะประกาศอย่างชัดเจนว่า จะไม่มีการขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติม
พบทุกคำตอบเรื่องเงินที่ Krungsri The Coach คลิกที่นี่
ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
สามารถสอบถามรายละเอียดข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.กรุงศรี โทร. 02-657-5757
หรือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา
ย้อนกลับ