Login@ccess
LoginEm@ccess
TH
เกี่ยวกับบลจ.กรุงศรี
ข่าว/ประกาศกองทุน
สรุปภาวะตลาด
วางแผนการลงทุน
ติดต่อเรา
การทำรายการซื้อ-ขาย
เมนูหลัก
ค้นหา
Home
เข้าสู่ระบบ
@ccess online
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD)
Seminar Booking
กองทุนรวม
หน้าหลักกองทุนรวม
กองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารตลาดเงิน
กองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้
กองทุนผสม
กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้น
กองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ
กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)
กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG)
กองทุนกรุงศรี 2TM
กองทุนอสังหาริมทรัพย์
กองทุนที่ลงทุนในทรัพย์สินทางเลือก
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
เกี่ยวกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
Employee’s choice
ตารางวันคำนวณจำนวนหน่วย
แบบประเมินความเสี่ยง
ติดต่อกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
จุดเด่นของ บลจ.กรุงศรี
มูลค่าหน่วยลงทุน
ผลการดำเนินงานกองทุนรวม
Krungsri @ccess Mobile App
ลงทุนกองทุนกรุงศรี
สะดวกกว่านี้ ไม่มีอีกแล้ว
ดูเพิ่มเติม
ราคาหน่วยลงทุนย้อนหลัง
ผลการดำเนินงานย้อนหลัง
Quicklink
ดาวน์โหลดแบบฟอร์ม
สมัครบริการ @ccess online
กองทุนรวม
เปิดบัญชีและทำรายการ
ทดสอบระดับความเสี่ยง
หนังสือรับรองฯ SSF/ RMF/ Thai ESG/ LTF/ หักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิฯ)
แจ้งความประสงค์ใช้สิทธิภาษี SSF/ RMF/ Thai ESG
ค้นหา
หน้าหลัก
>
วางแผนการลงทุน
>
เรียนรู้เกี่ยวกับการลงทุน
>
5 เหตุผลหนุนหุ้นอินเดีย
Quicklink
ดาวน์โหลดแบบฟอร์ม
สมัครบริการ @ccess online
กองทุนรวม
เปิดบัญชีและทำรายการ
ทดสอบระดับความเสี่ยง
หนังสือรับรองฯ SSF/ RMF/ Thai ESG/ LTF/ หักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิฯ)
แจ้งความประสงค์ใช้สิทธิภาษี SSF/ RMF/ Thai ESG
เข้าสู่ระบบ
@ccess online
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD)
5 เหตุผลหนุนหุ้นอินเดีย
อินเดียเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา จีน เยอรมนี และญี่ปุ่น ด้วยความโดดเด่นของแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ การเป็นตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่จากการมีประชากรมากที่สุดในโลก และการมีเสถียรภาพทางการเมือง จึงดึงดูดกระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมชั้นนำ
FSSA Investment Management
ผู้บริหารกองทุน FSSA Indian Subcontinent Fund ซึ่งเป็นกองทุนหลัก KF-INDIA ของบลจ. กรุงศรี ได้ให้มุมมอง
5 เหตุผลสนับสนุน “การลงทุนระยะยาวในหุ้นอินเดีย”
ไว้ดังนี้
1. ตลาดที่ประกอบด้วยบริษัทจดทะเบียนคุณภาพสูงจำนวนมาก
จากบริษัทจดทะเบียนจำนวน 5,000 บริษัทในอินเดีย มีประมาณ 1,400 บริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ (ขั้นต่ำสำหรับมูลค่าตลาดและสภาพคล่องในการพิจารณาลงทุนของกองทุน)
ในรอบหลายปีที่ผ่านมาทีมผู้จัดการกองทุนได้พบกับผู้บริหาร และทำการวิเคราะห์บริษัทในอินเดียเกือบ 1,000 บริษัท (ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมาผู้จัดการกองทุนทำการวิจัยกว่า 350 บริษัท) ในมุมมองของผู้จัดการกองทุน มีบริษัทในอินเดียประมาณ 200 บริษัทที่เข้าเกณฑ์มาตรฐานในด้านของคุณภาพ (เมื่อพิจารณาจากการเป็นเจ้าของ การบริหารจัดการ ทิศทางการดำเนินธุรกิจและความเข้มแข็งของเครือข่าย) ซึ่งตัวเลขนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกปี
ในทางตรงกันข้าม ผู้จัดการกองทุนเผชิญกับปัญหาในตลาดหุ้นของประเทศตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่แห่งอื่นเช่น เกาหลีใต้ (ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา มีน้ำหนักมากกว่าอินเดียในดัชนีของภูมิภาค) ในการระบุ 5 บริษัทที่สามารถลงทุนได้ และตัวเลขนี้ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง
บริษัทคุณภาพสูงของอินเดียมาจากหลากหลายอุตสาหกรรม แตกต่างจากตลาดเกิดใหม่หลายแห่งที่มีแรงขับเคลื่อนโดยสินค้าโภคภัณฑ์ และบางหมวดธุรกิจไม่มีอยู่ในตลาดหุ้นเหล่านั้น
ตามการคาดการณ์ของ S&P Global และ Morgan Stanley เศรษฐกิจอินเดียมีแนวโน้มที่จะมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกก่อนปี 2573 ซึ่งหมายความว่าบริษัทเหล่านี้จะมีตลาดขนาดใหญ่ภายในประเทศ และจะไม่ต้องพึ่งพาอุปสงค์จากการส่งออกจนเกินไป ปัจจัยเหล่านี้สนับสนุนความเชื่อมั่นของผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับความสามารถในการปกป้องผลกระทบจากภายนอก
2. หนึ่งในตลาดหุ้นที่เก่าแก่ที่สุดของโลก
ตลาดหุ้นอินเดีย Bombay Stock Exchange ก่อตั้งในปีพ.ศ. 2419 และนับเป็นหนึ่งในตลาดที่มีอายุมากที่สุดของเอเชีย ซึ่งช่วยส่งเสริมการสร้างวัฒนธรรมที่ดีของผู้ประกอบการและความสามารถในการรับมือกับโอกาสและความท้าทายที่มาพร้อมกับการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาเป็นเวลานานหลายทศวรรษ
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่บริษัทมหาชนในอินเดียจะประกอบด้วยธุรกิจครอบครัวที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นจำนวนมาก และมีประวัติการจดทะเบียนมานานกว่า 50 ปี ซึ่งปัจจุบันได้รับการบริหารจัดการโดยสมาชิกในครอบครัวรุ่นที่ 3 หรือรุ่นที่ 4
เมื่อพิจารณาตามข้อมูลและในมุมมองของผู้จัดการกองทุน ผู้จัดการกองทุนเห็นว่าธรรมาภิบาลที่ดีของบริษัทต่างๆในอินเดียเป็นเรื่องที่พบเจอได้เป็นปกติ ซึ่งแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดในหลายประเทศในเอเชีย
ในตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่บางแห่ง ประวัติของบริษัทจดทะเบียนมีระยะเวลาสั้น และธุรกิจจำนวนมากยังคงดำเนินการโดยผู้จัดการรุ่นแรก ซึ่งอาจเพิ่งเผชิญกับการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างซบเซาในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา จึงขาดความทนทานต่อความผันผวนที่ถูกสร้างขึ้นโดยการดำเนินธุรกิจภายใต้สภาวะที่ยากลำบาก ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทในอินเดียต้องเผชิญเกือบทุกวัน
3. ธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตซึ่งซ่อนอยู่ในบริษัทที่มีมูลค่าตลาดขนาดเล็ก
ขนาดประชากรที่แท้จริงของอินเดียกว่า 1.4 พันล้านคน และการที่อุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น หมายความว่าผู้นำตลาดมีมูลค่าตลาดขนาดเล็กมากเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในระดับภูมิภาคและระดับโลก
ตัวอย่างเช่น จีนมีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ 860 ล้านเครื่อง ซึ่งผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศ 3 อันดับแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในจีนมีมูลค่าตลาดรวมกันที่ 1.05 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ณ เดือนมกราคม 2567) ในขณะที่อินเดียมีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศประมาณ 80 ล้านเครื่อง (ตัวเลขปี 2566) และบริษัทจดทะเบียนอันดับต้นๆ ในอินเดียมีขนาดเล็กกว่ามากโดยเปรียบเทียบ ตัวอย่างเช่น Blue Star ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำที่มีส่วนแบ่งตลาดอุตสาหกรรมร้อยละ 13 มีมูลค่าตลาดเพียง 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนเป็นผู้ถือหุ้นของ Blue Star ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาในกลยุทธ์การลงทุน FSSA India และมีมุมมองว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจยังมาไม่ถึง แม้ว่าการประเมินมูลค่าในปัจจุบันจะอยู่ในระดับสูง
ผู้จัดการกองทุนพบบริษัทที่มีลักษณะดังกล่าวจำนวนมากในอินเดีย ในหลายอุตสาหกรรม และที่สำคัญกว่านั้นคือมีแนวโน้มที่จะสามารถระบุผู้ชนะได้ตั้งแต่ช่วงแรก ปัจจัยนี้สนับสนุนให้ผู้จัดการกองทุนมีความมั่นใจคงสัดส่วนการลงทุนของกองทุนและอาจเพิ่มสัดส่วนการลงทุนเมื่อสภาวะตลาดเอื้ออำนวย
4. เจ้าของกิจการและทีมผู้บริหารที่เข้าถึงได้ง่าย และการตระหนักถึงผลตอบแทนจากเงินลงทุน
ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างอินเดียกับตลาดเกิดใหม่อื่นๆคือ อินเดียขาดแคลนเงินทุนมาโดยตลอด (อัตราดอกเบี้ยโดยทั่วไปอยู่ในระดับค่อนข้างสูง) และรัฐบาลมักจะมิได้ดำเนินมาตการสนับสนุนภาคเอกชนอย่างชัดเจน ซึ่งแรงต้านที่เห็นได้ชัดนี้กลายเป็นปัจจัยสนับสนุนสำหรับรัฐบาลในการเป็นมิตรกับภาคธุรกิจในปัจจุบัน
ผู้บริหารของบริษัทต่างๆในอินเดียยังตระหนักดีถึงความพร้อมของเงินทุนและการบริหารต้นทุน ซึ่งหมายความว่าบริษัทอินเดียที่มีการจัดการที่ดีจะสามารถดำเนินธุรกิจให้มีผลตอบแทนจากการลงทุน (ROCE) ในระดับสูง และแม้กระทั่งผู้บริหารระดับกลางก็อาจสามารถวิเคราะห์ปัจจัยขับเคลื่อนของ ROCE ในธุรกิจได้ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สำหรับการหารือที่เข้มข้นเกี่ยวกับการจัดสรรเงินทุนของบริษัทต่างๆในอินเดีย ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ทำได้ยากในตลาดที่ผู้บริหารไม่ได้ให้ความสนใจ หรือไม่ได้เผชิญกับปัญหาดังก่าว เช่น ต้นทุนของเงินทุนมีระดับต่ำมาก หรือหาได้โดยง่ายผ่านนโยบายของภาครัฐ
การหารือกับผู้บริหารบริษัทไม่ได้จำกัดอยู่เพียงกระบวนการจัดสรรเงินทุนเท่านั้น แต่การมีส่วนร่วมของผู้จัดการกองทุนในประเด็นต่างๆ เช่น ความเป็นอิสระและประสิทธิภาพของคณะกรรมการ นโยบายการจ่ายค่าตอบแทน การสืบทอดตำแหน่ง คุณภาพทางการเงิน การทำธุรกรรมกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมของบริษัท เพื่อให้มั่นใจในการเป็นผู้ถือหุ้นระยะยาว ผู้จัดการกองทุนเชื่อว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะรู้สึกสอดคล้องกับวัฒนธรรมและมีความพึงพอใจกับคุณภาพของการบริหารจัดการ และสนับสนุนผู้จัดการกองทุนสามารถลงทุนได้ในช่วงเวลาที่ผันผวน
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจคุณภาพสูงในอินเดียจะไม่มีความลำบากใจกับการมีส่วนร่วมของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย (เช่น ผู้จัดการกองทุน) และชื่นชมการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่สร้างสรรค์จากนักลงทุนที่มีความคิดของการลงทุนในระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยพัฒนาความเชื่อมั่นในการถือครองของผู้จัดการกองทุนเป็นอย่างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในตลาดแห่งอื่น ที่ความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจมักจะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับราคาหุ้น
5. มาตรฐานธรรมาภิบาล และการคุ้มครองผู้ถือหุ้นส่วนน้อย ที่มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง
ประสบการณ์ของผู้จัดการกองทุนในการลงทุนในตลาดเกิดใหม่แสดงให้เห็นว่า ตลาดอินเดียมีความก้าวหน้าในด้านการคุ้มครองผู้ถือหุ้นส่วนน้อย ไม่ว่าจะเป็นกฎระเบียบเกี่ยวกับแปรรูปเป็นภาคเอกชน/สิทธิที่จะตามมา การอนุมัติธุรกรรมระหว่างกัน ระเบียบบังคับในด้านความเป็นอิสระสำหรับคณะกรรมการ การเปิดเผยข้อมูลการถือหุ้นและคำมั่นสัญญา ฯลฯ
โดยภาพรวมแล้ว ผู้จัดการกองทุนไม่มีความเป็นกังวลสำหรับการเป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อยสำหรับการลงทุนในบริษัทอินเดีย ซึ่งตรงกันข้ามกับประสบการณ์ของผู้จัดการกองทุนที่เจ็บปวดและน่าหงุดหงิดสำหรับการลงทุนในบริษัทของตลาดเกิดใหม่อื่นๆ จำนวนมาก
ที่มา: FSSA Investment Management
นโยบายการลงทุนของกองทุนกรุงศรี: KF-
INDIA/
KF
INDIARMF
ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ FSSA Indian Subcontinent Fund (Class III USD) (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยกองทุนหลักมีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนหรือซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่อยู่ในอนุทวีปอินเดีย ได้แก่ ประเทศอินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกา และบังกลาเทศ ดังนั้น กองทุนอาจมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และ/หรือการเมืองในประเทศซึ่งกองทุนหลักได้ลงทุน
ระดับ 6 – เสี่ยงสูง | กองทุนป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของทีมผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
ลงทุนขั้นต่ำ 500 บาท | ทุกกองทุนไม่มีนโยบายการจ่ายเงินปันผล
ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนก่อนตัดสินใจลงทุน
สอบถามเพิ่มเติมหรือขอข้อมูลหนังสือชี้ชวนกองทุนได้ที่ บลจ.กรุงศรี
โทร. 02-657-5757
หรือ ตัวแทนสนับสนุนการขาย/ เจ้าหน้าที่ขายหน่วยลงทุน
ข้อมูล KF-INDIA คลิก
ข้อมูล KFINDIARMF คลิก
ย้อนกลับ
วางแผนการลงทุน
เริ่มต้นการลงทุน
เรียนรู้เกี่ยวกับการลงทุน
วางแผนเพื่อลดหย่อนภาษี
แบบทดสอบระดับความเสี่ยง
คำนวณเงินลงทุนใน SSF
คำนวณเงินลงทุนใน RMF
@ccess Mobile Application
ทำรายการกองทุนสะดวกกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
เลือกกองทุนที่คุณสนใจ
-
คุกกี้
เว็บไซต์ของบริษัทมีการจัดเก็บข้อมูลจากเบราว์เซอร์ของคุณในรูปแบบคุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้นให้แก่คุณ รวมถึงนำเสนอเนื้อหา และประชาสัมพันธ์สิทธิประโยชน์ที่ตรงกับความต้องการ การกดปุ่ม
“ตกลงทั้งหมด”
จะช่วยให้คุณได้รับประสบการณ์เต็มรูปแบบในการใช้งานเว็บไซต์ของบริษัท ทั้งนี้ คุณสามารถกำหนดการตั้งค่าคุกกี้แต่ละประเภทได้ตามที่คุณต้องการโดยกดปุ่ม
“ตั้งค่าคุกกี้”
โดยคุณสามารถคลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
ประกาศการใช้งานคุกกี้
ของบริษัท
×
คุกกี้
คุกกี้ที่มีความจำเป็นต่อการใช้งานเว็บไซต์
Always Active
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการทำงานขั้นพื้นฐานของเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น การจดจำหน้าเว็บไซต์ที่คุณเข้าใช้งานล่าสุด การสำรวจหน้าเว็บไซต์ การจดจำรหัสของผู้เข้าใช้งาน หรือ ทำให้ผู้เข้าชม/ผู้ใช้เว็บไซต์เข้าสู่ระบบและสามารถเข้าถึงส่วนของเว็บไซต์ที่ถูกสงวนสิทธิ์ไว้สำหรับสมาชิกเท่านั้น เว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องหากไม่มีการเก็บรวบรวมคุกกี้เหล่านี้ การจัดเก็บคุกกี้ประเภทนี้จึงไม่มีความจำเป็นต้องขอความยินยอมจากคุณเพราะคุกกี้ประเภทนี้ไม่ได้มีการจัดเก็บข้อมูลซึ่งสามารถระบุตัวตนของคุณได้อย่างเฉพาะเจาะจงแต่อย่างใด
คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเว็บไซต์
คุกกี้ประเภทนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น การจดจำการตั้งค่าภาษา ภูมิภาค ขนาดตัวอักษรของคุณในการใช้งานเว็บไซต์ นับจำนวนและแหล่งที่มาของผู้เข้าชม/ผู้ใช้เว็บไซต์ เพื่อให้ทราบว่าผู้เข้าชม/ผู้ใช้เว็บไซต์มีการปฏิสัมพันธ์กับหน้าเว็บไซต์อย่างไร และหน้าเว็บไซต์ใดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดหรือน้อยที่สุด โดยการเก็บรวบรวมและการรายงานข้อมูลโดยไม่ระบุตัวตนของคุณอย่างไม่เฉพาะเจาะจงจะช่วยให้สามารถพัฒนาและมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ที่ดียิ่งขึ้น หากคุณไม่อนุญาตให้ใช้คุกกี้ประเภทนี้ อาจทำให้ไม่ทราบได้ว่าคุณเคยเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์เมื่อใดและไม่สามารถติดตามประสิทธิภาพการประมวลผลของหน้าเว็บไซต์ได้
คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูล
คุกกี้ประเภทนี้จะทำให้เว็บไซต์สามารถตอบสนองตามความพึงพอใจของคุณ โดยทำให้เราทราบถึงพฤติกรรมในการเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ รวมถึงรวบรวมข้อมูลทางสถิติเกี่ยวกับการเข้าใช้งานเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น สามารถจดจำการเข้าใช้งานเว็บไซต์ได้สำหรับคุณในครั้งถัดไป ทำให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาสิ่งที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย และช่วยให้เราเข้าใจถึงความสนใจของผู้ใช้ และวัดประสิทธิผลของโฆษณาของเรา คุกกี้ประเภทนี้อาจถูกติดตั้งไว้โดยบริษัทหรือผู้ให้บริการซึ่งเป็นบุคคลที่สาม หากคุณไม่อนุญาตให้ใช้คุกกี้ประเภทนี้ การให้บริการบางอย่างของเว็บไซต์อาจไม่สามารถประมวลผลได้อย่างถูกต้อง
คุกกี้สำหรับสื่อสังคมออนไลน์
คุกกี้ประเภทนี้สำหรับฟังก์ชั่นการกดไลค์ แชร์ หรือสมัครสมาชิกบนเว็บไซต์ที่เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์
คุณยืนยันลบข้อมูลการเก็บคุกกี้ของเว็บไซต์ของบริษัท ซึ่งไม่รวมถึงการจัดเก็บของบุคคลที่สาม เช่น Chrome, Firefox, Internet Explorer, Safari ฯลฯ ที่คุณต้องไปดำเนินการด้วยตนเอง