อย่ามองข้าม...ตลาดหุ้นยุโรปมีดีกว่าที่คิด


ดร. ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารความเสี่ยงด้านการลงทุน บลจ.กรุงศรี จำกัด



ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจยุโรปขยายตัวในระดับที่ต่ำมาก และหวุดหวิดจะเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิคหลายครั้ง อีกทั้งปัญหาเงินเฟ้อทรงตัวในระดับสูง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการคว่ำบาตรธุรกิจพลังงานของรัสเซียส่งผลให้ต้นทุนราคาพลังงานในยุโรปปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงภาคการผลิตในยูโรโซนหดตัวต่อเนื่องยาวนาน การที่ภาพรวมเศรษฐกิจของยุโรปอยู่ในภาวะอ่อนแอ ส่งผลให้นักลงทุนส่วนใหญ่ขาดความเชื่อมั่นในการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป และหันไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐที่มีแนวโน้มขยายตัวแข็งแกร่งต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี หากดูลึกลงในรายละเอียดของข้อมูล จะพบว่า อัตราการว่างงานในยูโรโซนอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 6.2% อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สอดคล้องกับการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งและเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นภาพเดียวกันกับเศรษฐกิจสหรัฐ กล่าวคือ คนมีงานทำ ส่งผลให้มีเงินสำหรับการใช้จ่าย การบริโภคจึงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ ปัจจัยหลักที่ฉุดตัวเลขเศรษฐกิจของยูโรโซนคือภาคการผลิตและการส่งออก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์และพลังงาน ด้วยเหตุนี้ เศรษฐกิจยุโรปจึงไม่ได้อ่อนแอมากอย่างที่หลายฝ่ายกังวล โดยธนาคารกลางยุโรปคาดว่าเศรษฐกิจยูโรโซนอาจขยายตัวราว 1.1% ในปีนี้ หลังจากโต 0.7% ในปีที่แล้ว และขยายตัวสูงขึ้นเป็น 1.4% ในปีหน้า โดยได้แรงหนุนหลักจากการเติบโตของการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุน เนื่องจากธนาคารกลางมองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงท่ามกลางการเติบโตของค่าจ้างแรงงานที่อยู่ในเกณฑ์ดี กอปรกับอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอลง จะส่งผลให้ผู้บริโภคมีความสามารถในการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และผู้ประกอบการจะมีการลงทุนมากขึ้นเพื่อรองรับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการลงทุนในด้านเทคโนโลยีที่มีการติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ธนาคารกลางยุโรปได้ประกาศลดดอกเบี้ยลงรวม 5 ครั้งนับตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีก่อน ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ 2.75%

ในแง่ของตลาดหุ้น หุ้นของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีในยุโรปมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market capitalization) คิดเป็นประมาณ 11% ของมูลค่าโดยรวมของตลาดหุ้นและไม่มีบริษัทที่โดดเด่นมากเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐ ในขณะที่หุ้นของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงถึง 40% ของมูลค่าตลาดโดยรวม นอกจากนี้ หุ้นที่มีความโดดเด่นและสามารถชี้นำตลาดหุ้นสหรัฐ หรือหุ้น 7 นางฟ้า (Magnificent 7) ซึ่งได้แก่ Apple, Amazon, Alphabet, Meta, Microsoft, Nvidia และ Tesla ล้วนเป็นหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี ในขณะที่หุ้นที่มีความโดดเด่นในตลาดหุ้นยุโรป หรือ Fantastic 4 ได้แก่ Novo Nordisk (บริษัทในอุตสาหกรรมยาของเดนมาร์ก), ASML (บริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีของเนเธอร์แลนด์), SAP (บริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีของเยอรมนี) และ LVMH (บริษัทในธุรกิจสินค้าหรูหราของฝรั่งเศส) สะท้อนว่าบริษัทในตลาดหุ้นยุโรปมีความหลากหลายในแง่ของธุรกิจมากกว่าตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งหมายความว่า การลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปสามารถกระจายความเสี่ยงไปในหลากหลายธุรกิจได้ดีกว่า อีกทั้งหลายบริษัทในตลาดหุ้นยุโรปมีราคาเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานถูกกว่าหุ้นในกลุ่มเดียวกันในตลาดหุ้นสหรัฐ ตัวอย่างเช่น ณ วันที่ 29 มกราคม 2568 หุ้น ASML มีค่า P/E อยู่ที่ 35.46 เท่า ในขณะที่หุ้น Nvidia มีค่า P/E อยู่ที่ 48.70 เท่า อย่างไรก็ดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความคาดหวังในด้านผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐมีสูงกว่า โดยหุ้น ASML มีราคาต่ำกว่าระดับราคาเป้าหมายเฉลี่ยของ Bloomberg อยู่ราว 30% ในขณะที่หุ้น Nvidia ราคาอยู่ต่ำกว่าระดับเป้าหมายเฉลี่ยราว 40%

ในแง่ของผลประกอบการ หุ้น Novo Nordisk ปรับตัวลงแรงในช่วงปลายปีที่แล้ว หลังบริษัทรายงานผลการทดสอบยาลดน้ำหนักออกมามีประสิทธิภาพต่ำกว่าที่คาด ส่งผลให้ตลาดปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตของผลประกอบการ ทางด้าน ASML รายงานผลประกอบการไตรมาส 4/67 ออกมาดีกว่าที่คาด และผู้บริหารให้มุมมองในเชิงบวก โดยระบุว่าการที่บริษัท DeepSeek ของจีนสามารถทำ AI ได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่า บ่งชี้ว่าจะมีแอพลิเคชั่นเพิ่มมากขึ้น และจะส่งผลให้ความต้องการชิปเพิ่มสูงขึ้น  ส่วน LVMH รายงานผลประกอบการลดลงในปี 2568 ตามการลดลงของยอดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และยอดขายสินค้าหรูในจีน รวมถึงมีรายจ่ายพิเศษจากการเข้าร่วมกิจกรรมโอลิมปิก อย่างไรก็ดี ผู้บริหารของ LVMH ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการในอนาคต  ในขณะที่ SAP คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการเติบโตของ AI

นอกจากหุ้นขนาดใหญ่ 4 ตัวนี้ ในตลาดหุ้นยุโรปยังมีหุ้นอีกหลายบริษัทขนาดใหญ่ที่คนไทยคุ้นเคย เช่น Nestlé, Shell, Unilever, HSBC, Airbus, Hermès, L’Oréal, Siemens เป็นต้น ซึ่งถ้าพิจารณาจากรายชื่อเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าบริษัทเหล่านี้มีรายได้จากนอกประเทศในสัดส่วนที่สูง ดังนั้น การที่เศรษฐกิจยุโรปอ่อนแอจึงไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทมากนัก 

ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทในยุโรปที่ออกมาดี ส่งผลให้ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวดีขึ้น โดยดัชนี Euro Stoxx 600 ได้ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และนักลงทุนกลับมามีความเชื่อมั่นมากขึ้นต่อตลาดหุ้นยุโรป อย่างไรก็ดี ยุโรปมีแนวโน้มที่จะถูกประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐใช้มาตรการทางภาษีเป็นเครื่องมือในการต่อรองทางการค้า ซึ่งอาจกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทในยุโรป เพราะฉะนั้น นักลงทุนจึงควรพิจารณาถึงความเสี่ยงเกี่ยวกับกรณีเพิ่มเติม
ดังนั้น นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปจึงควรเป็นผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง และควรติดตามข้อมูลการลงทุนอย่างใกล้ชิด

กองทุนแนะนำ ได้แก่  KF-EUROPE / KFHEUROP-A/ KFEURORMF
 
พบทุกคำตอบเรื่องเงินที่ Krungsri The Coach คลิกที่นี่







สามารถสอบถามรายละเอียดข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.กรุงศรี
โทร. 02-657-5757 หรือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา

นโยบายกองทุน/คำเตือน

  • KF-EUROPE/ KFHEUROP-A/ KFEURORMF ลงทุนในกองทุนหลัก Allianz Europe Equity Growth Fund โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV  |   ทุกกองทุนมีระดับความเสี่ยง 6: เสี่ยงสูง
  • KF-EUROPE/ KFEURORMF ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงซึ่งอาจทำให้ขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
  • RMF ลงทุนเพื่อเกษียณอายุ ผู้ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน


ข้อมูล KF-EUROPE คลิก

ข้อมูล KFHEUROP-A คลิก

ข้อมูล KFEURORMF คลิก

ย้อนกลับ

@ccess Mobile Application

ทำรายการกองทุนสะดวกกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว