จีน VS สหรัฐ ตลาดหุ้นไหนน่าสนใจกว่า?
ดร. ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารความเสี่ยงด้านการลงทุน บลจ.กรุงศรี จำกัด
ในช่วงนี้นักลงทุนบางท่านอาจมีความลังเลในการตัดสินใจลงทุนระหว่างตลาดหุ้นจีน ซึ่งอยู่ที่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี และทางการจีนมีแนวโน้มที่จะมีมาตรการสนับสนุนให้ตลาดหุ้นฟื้นตัว รวมถึงความคาดหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในวันข้างหน้า ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นเติบโตดีขึ้น หรือลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มสดใส ท่ามกลางแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
สำหรับตลาดหุ้นจีน โดยปกติเป็นตลาดที่มีการซื้อขายที่ P/E ต่ำกว่าตลาดอื่นๆ ถึงแม้เป็นช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตดีก็ตาม ซึ่งเป็นผลจากหลายปัจจัย เช่น ตลาดหุ้นจีนยังคงจำกัดการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ความไม่มั่นใจในมาตรฐานทางบัญชี การเข้าถึงข้อมูลยังคงเป็นไปอย่างจำกัด (บางบริษัทยังคงรายงานงบการเงินเป็นภาษาจีนเพียงภาษาเดียว) รัฐบาลมักเข้าแทรกแซงตลาดโดยตรง เป็นต้น โดยปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นจีนอยู่ในระดับที่สูงกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ เป็นผลให้ถูกซื้อขายที่ P/E ต่ำเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่สูงกว่า
ในขณะที่ ในปัจจุบันตลาดหุ้นจีนถูก discount ไปซื้อขายที่ระดับ P/E ต่ำลงกว่าปกติ โดยมีสาเหตุหลักจาก 2 ปัจจัยที่เด่นชัด ได้แก่ 1) ปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ 2) ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นจีน แต่อาจไม่เป็นที่รับรู้ในวงกว้างดังเช่น 2 ปัจจัยดังกล่าว เช่น ผลกำไรของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมของจีนที่ปรับตัวลดลง 2 ปีติดต่อกัน ปัญหาการว่างงานของแรงงานหนุ่มสาว ฯลฯ
ในส่วนของความพยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้น รัฐบาลจีนได้พูดย้ำอยู่ตลอดว่าต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ และจะมีมาตรการรักษาเสถียรภาพตลาดหุ้น อย่างไรก็ดีนักลงทุนกลับตีความว่า ทางการจีนจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ และจะมีมาตรการกระตุ้นการลงทุนในตลาดหุ้น ดังนั้น เมื่อทางการจีนดำเนินมาตรการใดๆ ตลาดหุ้นมักจะตอบรับเชิงบวกในช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะกลับตัวเป็นทิศทางขาลงดังเดิม
ในระยะถัดไป ตลาดหุ้นจีนอาจได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจจีนอาจผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ผลกำไรของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมเริ่มมีทิศทางดีขึ้นต่อเนื่อง ยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเติบโตต่อเนื่อง การเติบโตของอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง และเศรษฐกิจโลกมีทิศทางดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของจีน อย่างไรก็ดี การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ อาจนำไปสู่สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐรอบใหม่ และอาจส่งผลลบต่อมุมมองการลงทุนในจีน
สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐมีแนวโน้มได้แรงหนุนจากหลายปัจจัย ได้แก่ ตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ตัวเลขผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนฯ โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยี ในไตรมาส 4/66 ส่วนใหญ่เติบโตดีกว่าที่คาด การบริโภคภายในประเทศและตลาดแรงงานบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจะยังคงเติบโตต่อเนื่อง ฯลฯ นอกจากนี้
การที่สหรัฐจะมีการเลือกตั้งในปีนี้ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจะมีการแถลงนโยบายในการหาเสียง ซึ่งอาจรวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และอาจรวมไปถึงแนวทางการยุติสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และความขัดแย้งกับประเทศอื่นๆ โดยนโยบายที่ใช้หาเสียงน่าจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐ ดังนั้น ในแง่ของแนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการของบริษัทในสหรัฐจึงมีความชัดเจนมากกว่า
ในส่วนของทิศทางดอกเบี้ยขาลงของสหรัฐ ย่อมส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุน อย่างไรก็ดี การที่ตลาดคาดหวังมากเกินไปต่อการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจส่งผลลบต่อบรรยากาศการลงทุนในบางช่วง ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ที่เฟดจะคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงยาวนานกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง และค่าจ้างแรงงานยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูง ดังนั้น เฟดจึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบลดดอกเบี้ยท่ามกลางความไม่แน่นอนที่อัตราเงินเฟ้ออาจกลับมาเร่งตัวขึ้น นอกจากนี้ ในช่วงใกล้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เฟดมักจะไม่ดำเนินมาตรการหรือปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินเพิ่มเติม เพื่อแสดงถึงความเป็นกลางทางการเมือง
ดังนั้น
การลงทุนในตลาดหุ้นจีนอาจมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนได้ในระดับสูง หากเศรษฐกิจผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วจริง และกลับมาฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ก็มีความเสี่ยงที่อาจจะได้รับผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้ารอบใหม่ ในขณะที่ การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐมีแนวโน้มที่จะสร้างผลตอบแทนได้ดี ท่ามกลางปัจจัยสนับสนุนเชิงบวกที่ชัดเจนกว่า อย่างไรก็ดี การลดดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ซึ่งอาจส่งผลให้เงินทุนไหลออกสู่ตลาดอื่นๆ ได้
มาถึงจุดนี้
นักลงทุนน่าจะพอเห็นทิศทางของการลงทุนในทั้ง 2 ตลาดนี้พอสมควร ส่วนการตัดสินใจว่าควรลงทุนในตลาดใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม และพิจารณาถึงระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โดยอาจเลือกลงทุนในตลาดใดตลาดหนึ่ง หรือแบ่งสัดส่วนลงทุนในทั้ง 2 ตลาดตามระดับความเสี่ยง เช่น ลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ 70% ลงทุนในตลาดหุ้นจีน 30% รวมถึงอาจลงทุนเป็นเงินก้อนในตลาดหนึ่ง และอีกตลาดหนึ่งใช้วิธีทยอยลงทุน เช่น ลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ 50% และทยอยลงทุนในตลาดหุ้นจีนครั้งละ 5 -10% ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับมุมมองและระดับความเสี่ยงของท่าน หรืออาจขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ให้คำแนะนำการลงทุนครับ
กองทุนหุ้นจีนแนะนำ คลิก: KFACHINA-A | KF-CHINA | KFCSI300-A
กองทุนหุ้นสหรัฐแนะนำ คลิก: KFNDQ-A | KFUS-A | KFUSINDX-A
พบทุกคำตอบเรื่องเงินที่ Krungsri The Coach คลิกที่นี่
ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
สามารถสอบถามรายละเอียดข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.กรุงศรี โทร. 02-657-5757
หรือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา
ย้อนกลับ