ตลาดหุ้นจีนบวกแรง ลุยเลยดีไหม?
ดร. ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารความเสี่ยงด้านการลงทุน บลจ.กรุงศรี จำกัด
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา
ดัชนีฮั่งเส็งของตลาดหุ้นฮ่องกงปรับขึ้นกว่า 10% ในขณะที่ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตของตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ปรับตัวขึ้นราว 3% (ข้อมูล ณ วันที่ 7 พ.ค. 2567) ซึ่งถือว่าตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง แต่หากลงทุนในกองทุนที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ ก็อาจได้ผลตอบแทนที่น้อยกว่ามาก
การที่ตลาดหุ้นจีนปรับตัวสูงขึ้น สะท้อนว่า
นักลงทุนเริ่มมีความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน โดยตลาดหุ้นจีนถือว่าเป็นหนึ่งในตลาดที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งอาจเป็นเพราะตลาดหุ้นจีนมีความเสี่ยงในหลายๆด้าน จึงถูก discount ในแง่ของราคา
สำหรับการปรับขึ้นอย่างร้อนแรงของตลาดหุ้นฮ่องกง
ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ที่ปรับตัวขึ้นตามหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐ นอกจากนี้ การลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงทำได้ง่ายกว่าการลงทุนตรงในตลาดหุ้นจีน และนักลงทุนเชื่อว่าตลาดหุ้นฮ่องกงมีความโปร่งใสมากกว่า รวมถึงอาจได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงของจีนน้อยกว่า ดังนั้น นักลงทุนที่ต้องการมีการลงทุนในหุ้นจีนจึงนิยมเข้าลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงมากกว่า
ในส่วนของตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ นักลงทุนยังคงมีความระมัดระวังในการลงทุน เพราะยังคงมีความเสี่ยงจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ ปัญหาสงครามการค้าที่อาจถูกหยิบยกมาใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ปัญหาการผลิตส่วนเกินในหลายอุตสาหกรรม รวมถึงการแทรกแซงตลาดการลงทุนจากรัฐบาล ด้วยปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เหล่านี้ ส่งผลให้นักลงทุนส่วนใหญ่จึงพอใจที่จะลงทุนในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ในระดับราคาที่ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน
ในแง่ของเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจจีนมีสัญญาณฟื้นตัว แต่ยังคงอ่อนแอ โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีนที่จัดทำโดยทางการ ลดลงสู่ 50.4 ในเดือน เม.ย. จาก 50.8 ในเดือน มี.ค. และ PMI นอกภาคการผลิตที่จัดทำโดยทางการลดลงสู่ 51.2 จาก 53.0 บ่งชี้ว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ยังคงขยายตัว แต่ในอัตราที่ชะลอลง ในขณะที่ PMI ภาคการผลิตที่จัดทำโดยไฉซินเพิ่มขึ้นสู่ 51.4 จาก 51.1 และ PMI ภาคบริการลดลงสู่ 52.5 จาก 52.7 บ่งชี้ว่า กิจกรรมภาคการผลิตของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กในภาคเอกชนขยายตัวในอัตราที่สูงขึ้น ในขณะที่กิจกรรมในภาคบริการชะลอตัวลงเล็กน้อย ส่วนผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีก ต่างขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง และผลกำไรของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมของจีนในช่วง 3 เดือนแรกชะลอลงจากในช่วง 2 เดือนแรก
จากข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าวที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจีนยังไม่เดินหน้าเต็มที่ ส่งผลให้หลายฝ่ายคาดหวังว่ารัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่เพื่อให้เกิดแรงผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี รัฐบาลจีนย้ำเสมอว่า ต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว เพราะจากการที่รัฐบาลเคยใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่เมื่อหลายสิบปีก่อน ยังคงส่งผลลบมาถึงปัจจุบัน โดยปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นหนึ่งในผลพวงจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว ดังนั้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล่าสุดของจีนจึงไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายก็ปรับลดลงเพียงเล็กน้อย
อย่างไรก็ดี รัฐบาลจีนได้ประกาศมาตรการรักษาเสถียรภาพและกระตุ้นตลาดหุ้น หลังจากที่ตลาดหุ้นจีนเป็นหนึ่งในตลาดที่ปรับตัวแย่ที่สุดในปีที่ผ่านมา โดยมาตรการดังกล่าวรวมถึงการให้บริษัทชั้นนำในแผ่นดินใหญ่สามารถจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงได้ง่ายขึ้น เพิ่มความร่วมมือระหว่างตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่และตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มบทลงโทษและเพิ่มกฏระเบียบที่เข้มงวดขึ้น เพื่อลดการกระทำผิดและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน
การลงทุนในตลาดหุ้นจีนจึงดูมีความน่าสนใจมากขึ้นจากการที่เศรษฐกิจจีนเริ่มฟื้นตัว และรัฐบาลจีนมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 5% ในปีนี้ อย่างไรก็ดี นักลงทุนอาจกังวลว่าตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวขึ้นมากว่า 10% ภายในระยะเวลาราว 1 เดือน หากเข้าลงทุนตอนนี้จะอยู่ในจุดที่สูงเกินไปหรือไม่ ซึ่งหากมองในช่วง 1 เดือน ก็ถือว่าปรับตัวขึ้นแรง แต่หากมองย้อนกลับไป 1 ปี ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวลงกว่า 9% และหากมองย้อนกลับไป 5 ปี ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวลงกว่า 35% ส่วนดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตย้อนหลัง 1 ปีปรับตัวลงกว่า 7% ในขณะที่ย้อนหลัง 5 ปีปรับตัวขึ้นราว 6.5% ดังนั้น หากมองเทียบในระยะยาว ถือว่าตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงน่าจะยังสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ อย่างไรก็ดี การวิเคราะห์เทียบกับผลตอบแทนในอดีตเป็นการวิเคราะห์เปรียบเทียบเชิงปริมาณเท่านั้น โดยผลตอบแทนในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนในอนาคต ดังนั้น นักลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูลอื่นๆเพิ่มเติม หรือขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาการลงทุน
สำหรับกองทุนที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นจีนมีให้เลือกหลากหลาย เช่น กองทุนที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ กองทุนที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง กองทุนที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่+ฮ่องกง+ไต้หวัน กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีน เป็นต้น ดังนั้น หากท่านต้องการลงทุนในกองทุนหุ้นจีน จึงควรศึกษาว่ากองทุนที่ท่านจะลงทุนเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนแบบใด เพราะความเสี่ยงและผลตอบแทนอาจแตกต่างกันมาก
บลจ.กรุงศรี แนะนำกองทุนหุ้นจีน ได้แก่ KFACHINA-A | KF-CHINA | KFCSI300-A
พบทุกคำตอบเรื่องเงินที่ Krungsri The Coach คลิกที่นี่
ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
สามารถสอบถามรายละเอียดข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.กรุงศรี โทร. 02-657-5757
หรือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา
ข้อมูล KFACHINA-A คลิก
ข้อมูล KF-CHINA คลิก
ข้อมูล KFCSI300-A คลิก
ย้อนกลับ