Flash Update


เลือกตั้งปธน. สหรัฐปี 67 กับผลกระทบต่อตลาดหุ้น

27/06/2567


โจ ไบเดน vs. โดนัลด์ ทรัมป์ ผลกระทบต่อ Sector ต่างๆ ในตลาดหุ้น และภาษี


ผลตอบแทนและความผันผวนของตลาดหุ้น
  • จากข้อมูลในอดีต ไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่าผลการเลือกตั้งมีผลกระทบระยะยาวต่อเศรษฐกิจหรือผลตอบแทนของ ตลาดหุ้น โดยผลตอบแทนของตลาดหุ้นในปีที่มีการเลือกตั้งและไม่มีการเลือกตั้งไม่แตกต่างกันมากนัก แต่มีแนวโน้มที่จะผันผวนมากกว่าปกติ โดยเฉพาะในช่วงก่อนถึงวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
  • อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ชนะการเลือกตั้งก็มีบทบาทในการกำหนดนโยบายต่างๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อหุ้นในระดับ Sector 
ผลกระทบต่อ Sector ต่างๆ ในตลาดหุ้น
  • หุ้นกลุ่มการเงิน มักจะ Outperform ในช่วงการเลือกตั้งจากความคาดหวังว่าใครก็ตามที่ได้เป็นประธานาธิบดีก็จะสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อธนาคารและกลุ่ม Financial Services
  • หุ้นกลุ่ม Health Care มีแนวโน้มที่จะทำได้ดีภายใต้การนำของพรรคเดโมแครต
  • หุ้นกลุ่มพลังงาน จะได้รับการสนับสนุนภายใต้การนำของพรรครีพับลิกัน เนื่องจากโดนัลด์ ทรัมป์ มุ่งเพิ่มการผลิตพลังงานโดยการขุดเจาะบนที่ดินของรัฐบาลกลางและขยายท่อส่งน้ำมัน ซึ่งการผลิตที่เพิ่มขึ้นและการยกเลิกกฎระเบียบอาจเป็นประโยชน์ต่อบริษัทบางแห่งในกลุ่มพลังงาน อย่างไรก็ตาม การจัดหาแหล่งพลังงานที่มากขึ้นอาจส่งผลให้ราคาลดลงเช่นกัน ดังนั้น ผลประโยชน์ต่อหุ้นน้ำมันและก๊าซอาจไม่ชัดเจนมากอย่างที่คาดไว้
  • โจ ไบเดน เน้นลดการปล่อยก๊าซและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ดังนั้น กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับพลังงานหมุนเวียนอาจได้รับการสนับสนุนมากขึ้น แต่บริษัทน้ำมันและก๊าซแบบดั้งเดิมอาจตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน
  • หุ้นกลุ่มการเงิน อุตสาหกรรม การบินและอวกาศ การป้องกันประเทศ มีผลตอบแทนดีหลังโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งในปี 2016 ขณะที่หุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานมีผลการดำเนินงานดีหลังโจ ไบเดน ได้รับชัยชนะในปี 2020
  • อย่างไรก็ตาม การที่ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างแข็งแกร่งในปี 2020 ส่วนหนึ่งก็มาจากข่าววัคซีนโควิด-19 ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่ามีปัจจัยอื่นๆ นอกเหนือจากผลการเลือกตั้งที่สามารถส่งผลต่อตลาดหุ้นได้
ผลกระทบทางภาษี
  • บทบัญญัติหลายฉบับของกฎหมายปฏิรูปภาษีสหรัฐฯ (Tax Cuts and Jobs Act) ปี 2017 จะหมดอายุในปี 2025 ซึ่งรัฐสภาจะต้องตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ต้องสร้างสมดุลระหว่างหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นและการขึ้นภาษี
  • พรรครีพับลิกันอาจสนับสนุนการขยายเวลาในการลดภาษีและเสนอให้ตัดค่าใช้จ่ายด้าน Nondefense ขณะที่พรรคเดโมแครตอาจสนับสนุนการขึ้นภาษีสำหรับบริษัทและบุคคลร่ำรวย
  • อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มที่จะมีรัฐบาลที่กุมเสียงพรรคละสภา ทำให้พรรคการเมืองทั้งสองต้องมีการประนีประนอม ซึ่งอาจส่งผลให้ภาษีสูงขึ้นเล็กน้อย และลดการขาดดุลได้เล็กน้อย
  • แม้ทั้งสองฝั่งอาจให้ลำดับความสำคัญที่แตกต่างกันในมุมมองทางภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคงภายในประเทศ แต่การใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศมีแนวโน้มที่จะยังคงแข็งแกร่งไม่ว่าใครจะเป็นประธานาธิบดีก็ตาม
  • ในส่วนของภาษีนำเข้า โดนัลด์ ทรัมป์ ต้องการเก็บภาษีนำเข้า 10% สำหรับสินค้าที่นำเข้าทั้งหมด แต่เก็บภาษี 60% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากจีน ขณะที่ โจ ไบเดน มีแผนจะประเมินภาษีนำเข้าใหม่ แต่เพิ่งประกาศท่าทีที่แข็งกร้าวต่อจีน โดยเรียกเก็บภาษีนำเข้าจำนวนมากสำหรับสินค้าที่นำเข้าจากจีน ทั้งเหล็ก เซมิคอนดักเตอร์ และรถยนต์ EV
ที่มา: J.P.Morgan Wealth Management | อัปเดต: 26 มิ.ย. 2567

อัปเดต: Debate Takeaways: ไบเดน vs. ทรัมป์

หากท่านมีข้อสงสัย หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือขอดูหนังสือชี้ชวน โปรดติดต่อ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรีจำกัด โทร 0 2657 5757 หรืออีเมล krungsriasset.clientservice@krungsri.com
เอกสารประกอบเปิดด้วยโปรแกรม Acrobat Reader หากท่านไม่มีโปรแกรมดังกล่าว คลิกเพื่อ ดาวน์โหลด โปรแกรม (ไม่มีค่าใช้จ่าย)

ย้อนกลับ

ลงทุนในกองทุนรวมบลจ.กรุงศรี

บลจ.กรุงศรีมีกองทุนรวมหลายประเภทให้เลือกลงทุนสำหรับทุกเป้าหมายการลงทุน