สรุปภาวะตลาดรายวัน


บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด
26/01/2567

ปัจจัยสำคัญ 

  • ตลาดหุ้นสหรัฐทั้ง 3 ดัชนีหลักปิดบวก โดยตัวเลข GDP ที่แข็งแกร่งเกินคาดและการชะลอตัวของเงินเฟ้อในไตรมาส 4/2566 ช่วยให้ดัชนีดาวโจนส์พลิกกลับมาปิดในแดนบวกอีกครั้งหลังจากปรับตัวลงติดต่อกัน 2 วัน ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 6 โดย S&P500 ปิดทำนิวไฮติดต่อกันเป็นวันที่ 5 ซึ่งเป็นสถิติที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2564
  • กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ของ GDP ประจำไตรมาส 4/2566 เมื่อคืนนี้ โดยระบุว่า GDP ขยายตัว 3.3% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.0% โดยได้แรงหนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง และช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกในช่วงที่ผ่านมา
  • นักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อ โดยในรายงาน GDP ดังกล่าว กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่าดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ประจำไตรมาส 4/2566 ปรับตัวขึ้นเพียง 2.7% ซึ่งชะลอตัวลงจากระดับ 5.9% ในไตรมาส 4/2565 ส่วนดัชนี Core PCE ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้นเพียง 3.2% ชะลอตัวลงจากระดับ 5.1% ในไตรมาส 4/2565
  • หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 2.23% และดัชนีหุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารปรับตัวขึ้น 1.83%
  • ข้อมูลจาก LSEG (London Stock Exchange Group) ระบุว่า บริษัทในดัชนี S&P500 ที่ได้รายงานผลประกอบการไปแล้วนั้น มี 82% ที่รายงานผลประกอบการสูงกว่าคาด เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาวที่บ่งชี้ว่าบริษัทที่มีผลประกอบการสูงกว่าคาดอยู่ที่ระดับ 67%
  • กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 25,000 ราย สู่ระดับ 214,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 200,000 ราย
  • นักลงทุนรอติดตามการเปิดเผย PCE ประจำเดือน ธ.ค. ของสหรัฐในวันนี้ เวลาประมาณ 20.30 น.ตามเวลาไทย โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)
  • ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก หลังร่วงลงมากถึง 0.5% ในระหว่างวัน โดยตลาดปรับตัวรับการที่ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 4% ตามคาด และยืนยันความมุ่งมั่นในการต่อสู้กับเงินเฟ้อ
  • ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อวานนี้ (25 ม.ค.) ตามการคาดการณ์ของตลาด โดยเป็นการตรึงอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากยังคงอยู่ที่ระดับ 4.00% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ระดับ 4.75% ส่วนอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์อยู่ที่ระดับ 4.50% ขณะที่นักลงทุนให้น้ำหนัก 62% ต่อคาดการณ์ที่ว่า ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน เม.ย.
  • นายโรเบิร์ต โฮลซ์แมนน์ สมาชิกคณะกรรมการควบคุมนโยบายของ ECB กล่าวในการประชุม World Economic Forum (WEF) ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ว่า ถ้ายังไม่เห็นว่าเงินเฟ้อกำลังลดลงสู่ระดับ 2% อย่างชัดเจน ก็ยังไม่สามารถประกาศได้ว่าเราจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้เมื่อใด
  • อัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนดีดตัวขึ้น 2.9% ในเดือน ธ.ค. โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาพลังงาน ขณะที่เป้าหมายเงินเฟ้อของ ECB อยู่ที่ระดับ 2%
  • ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดบวกเล็กน้อย โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐที่ปิดบวกเมื่อวันที่ 24 ม.ค. อย่างไรก็ดี นิกเกอิปิดบวกเพียงเล็กน้อยเนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังดัชนีปรับตัวขึ้นมามากในช่วงหลัง
  • นายมาซาฮิโระ อิชิกาวะ หัวหน้านักยุทธศาสตร์การตลาดของซูมิโตโม มิตซุย ดีเอส แอสเสท แมเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า นักลงทุนเริ่มคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะยกเลิกนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเป็นพิเศษในเร็วๆ นี้
  • ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวก รับข่าวทางการจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยธนาคารกลางจีนเปิดเผยเมื่อวันที่ 24 ม.ค. ที่ผ่านมาว่า จะอนุญาตให้บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใช้อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการกู้เงินจากธนาคาร เพื่อให้บริษัทเหล่านี้นำเงินมาชำระหนี้สิน นอกจากนี้ ธนาคารกลางจีนได้ประกาศลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลง 0.50% โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ. ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงินของจีนได้ราว 1 ล้านล้านหยวน (1.39 แสนล้านดอลลาร์)
  • ตลาดหุ้นไทยปิดลบ โดยแกว่งตัวในกรอบแคบๆ แดนลบตลอดทั้งวันจากแรงขายทำกำไรหลังจากปรับตัวขึ้นแรงในวันก่อนหน้า ในขณะที่ตลาดหุ้นในอาเซียนต่างปิดปรับตัวลดลงเช่นกัน แต่ตลาดหุ้นญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ต่างปิดปรับตัวสูงขึ้น โดยยังคงได้แรงหนุนจากการที่ทางการจีนเตรียมออกมาตรการรักษาเสถียรภาพตลาดหุ้น และธนาคารกลางจีนประกาศลด RRR

มุมมองการลงทุนจาก บลจ.กรุงศรี

หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ GDP ไตรมาส 4/66 ออกมาขยายตัวดีกว่าคาด สะท้อนมุมมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงเติบโตได้ดี ซึ่งถ้าวันนี้ (26 ม.ค.) หากดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ออกมาสูงกว่าคาด จะเป็นปัจจัยหนุนให้เฟดตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงยาวนานกว่าที่คาดไว้ แนะนำลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลกในจังหวะที่อัตราผลตอบแทน (bond yield) ปรับสูงขึ้น เพื่อคาดหวังผลตอบแทนจากดอกเบี้ยและส่วนต่างราคา (capital gain) เมื่อเฟดปรับลดดอกเบี้ยลง

สรุปภาพรวมตลาด

  • ต่างประเทศ
    • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 38,049.13 จุด เพิ่มขึ้น 242.74 จุด หรือ +0.64%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,894.16 จุด เพิ่มขึ้น 25.61 จุด หรือ +0.53% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,510.50 จุด เพิ่มขึ้น 28.58 จุด หรือ +0.18%
    • ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 478.53 จุด เพิ่มขึ้น 1.44 จุด หรือ +0.30%
    • ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 36,236.47 จุด เพิ่มขึ้น 9.99 จุด หรือ +0.03%
    • ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ 2,906.11 จุด เพิ่มขึ้น 85.34 จุด หรือ +3.03%
    • สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน มี.ค. เพิ่มขึ้น 2.27 ดอลลาร์ หรือ 3.02% ปิดที่ 77.36 ดอลลาร์/บาร์เรล
    • สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน ก.พ. เพิ่มขึ้น 1.80 ดอลลาร์ หรือ 0.09% ปิดที่ 2,017.80 ดอลลาร์/ออนซ์
  • ในประเทศ
    • SET ปิดที่ 1,376.09 ลบ 5.10 จุด (-0.37%) Trading Volume: 41,095.38 ล้านบาท – มูลค่าการซื้อขายน้อย โดยตลาดหุ้นไทยมีการซื้อขายมากที่สุดในหุ้นกลุ่มธนาคาร (+0.23%) และกลุ่มพลังงาน (-0.05%) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,042.20 ล้านบาท
    • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปิดปรับลดลง 1-2 bps แบ่งตามช่วงอายุ ดังนี้
      • อายุ 1-5 ปี ปิดปรับลดลง 1 bp
      • อายุ >5-10 ปี ปิดปรับลดลง 1-2 bps
      • อายุ >10 ปีขึ้นไป ปิดปรับลดลง 1-3 bps
      • IRS SWAP ปิดปรับขึ้น 1 bp         
    • นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 10,043.69 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,945.56 ล้านบาท 
ที่มา: Bloomberg, Econaday, KSS, Ryt9
 
กองทุนที่มีนโยบายลงทุนใน
ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | สำหรับกองทุน SSF/RMF/LTF/Thai ESG ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน|สำหรับกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศจะมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง หรือสังคมของประเทศที่กองทุนไปลงทุนได้ | เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูล แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือและความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

ย้อนกลับ


ลงทุนในกองทุนรวมบลจ.กรุงศรี

บลจ.กรุงศรีมีกองทุนรวมหลายประเภทให้เลือกลงทุนสำหรับทุกเป้าหมายการลงทุน