สรุปภาวะตลาดรายวัน


บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด
09/02/2567

ปัจจัยสำคัญ 

  • ตลาดหุ้นสหรัฐทั้ง 3 ดัชนีหลักปิดบวก นำโดยดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ขณะที่ดัชนี S&P500 พุ่งขึ้นเหนือระดับ 5,000 จุดในระหว่างวัน ก่อนที่จะขยับลงจากระดับดังกล่าวในช่วงปิดตลาด อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P500 ปิดทำนิวไฮเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน
  • ตลาดได้รับปัจจัยบวกจากผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียน โดยข้อมูลจาก LSEG (London Stock Exchange Group) ระบุว่า ขณะนี้มีบริษัทมากกว่าครึ่งหนึ่งในดัชนี S&P500 ที่ได้รายงานผลประกอบการแล้ว โดยในจำนวนนี้มี 80.6% ที่รายงานผลประกอบการสูงกว่าคาด เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาวซึ่งอยู่ที่ระดับ 67%
  • เจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกมาส่งสัญญาณว่าเฟดจะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะมั่นใจว่าเงินเฟ้อของสหรัฐกำลังชะลอตัวลงสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% เช่น นางเอเดรียนา คุกเลอร์ หนึ่งในสมาชิกคณะผู้ว่าการเฟดกล่าวในงานเสวนาซึ่งจัดขึ้นโดยสถาบันบรูกิงส์ (Brookings Institution) ว่า เป็นเรื่องเหมาะสมที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย หากเงินเฟ้อชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ย้ำว่าการจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้นั้น เงินเฟ้อจะต้องปรับตัวลงสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%
  • ด้านนางซูซาน คอลลินส์ ประธานเฟดสาขาบอสตัน กล่าวในการประชุมสมาคมเศรษฐกิจแห่งเมืองบอสตันว่า ขณะนี้เงินเฟ้อสหรัฐกำลังอยู่ในทิศทางที่มีเสถียรภาพและมีแนวโน้มที่จะลดลงสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% โดยหากสถานการณ์เงินเฟ้อยังคงมีความคืบหน้าเช่นนี้ เฟดก็อาจจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ อย่างไรก็ดี เฟดจำเป็นต้องมีหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อให้มั่นใจว่าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับเป้าหมาย 2% อย่างยั่งยืน
  • ขณะที่นายโทมัส บาร์กิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวมาร์เก็ตวอตช์ว่า ข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความคืบหน้าของเงินเฟ้อเมื่อไม่นานมานี้อาจเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และเมื่อพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงไม่แน่นอนในขณะนี้ เขาคิดว่าเฟดอาจจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ย
  • กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 9,000 ราย สู่ระดับ 218,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 221,000 ราย
  • FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25 - 5.50% ในการประชุมเดือน มี.ค. ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมเดือน พ.ค.
  • ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบโดยหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ถ่วงตลาดลง ซึ่งบดบังปัจจัยบวกจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค
  • หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ ร่วง 1.9% หลังหุ้นแอสตร้าเซนเนก้าของอังกฤษ ร่วงลง 6.4% เนื่องจากเปิดเผยผลกำไรต่ำกว่าคาด แต่หุ้นกลุ่มสินค้าส่วนบุคคลและในครัวเรือนปรับตัวขึ้นสวนทางตลาด โดยได้แรงหนุนจากหุ้นบริติช อเมริกัน โทแบคโค ซึ่งพุ่งขึ้น 7.1% หลังเปิดเผยเกี่ยวกับแผนการขายหุ้นในบริษัทไอทีซีของอินเดีย และแผนการเริ่มซื้อหุ้นคืน หุ้นยูนิลีเวอร์ พุ่งขึ้น 3.2% หลังประกาศแผนการซื้อหุ้นคืน 1.5 พันล้านยูโร และเปิดเผยยอดขายไตรมาส 4 เพิ่มขึ้น
  • ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดบวก แตะระดับสูงสุดในรอบ 34 ปี โดยหุ้นกลุ่มส่งออกได้รับแรงหนุนจากเงินเยนที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่นายชินอิจิ อุจิดะ รองผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ออกมาให้ความเห็นที่เป็นการส่งสัญญาณว่า BOJ จะคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป แม้หลังจากยุติการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบแล้วก็ตาม
  • ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดบวก หลังจากรัฐบาลจีนประกาศเปลี่ยนตัวผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า รัฐบาลจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีแผนที่จะใช้มาตรการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการยุติแรงเทขายที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นจีน
  • รัฐบาลจีนประกาศแต่งตั้ง นายอู๋ ชิง ให้เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของจีน (CSRC) แทนนายอี้ หุยหมาน โดยนายอู๋เป็นผู้มากประสบการณ์ด้านการธนาคารและการกำกับดูแล และได้รับการขนานนามว่า "ผู้ปราบโบรกเกอร์ (broker butcher)"
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานวานนี้ว่า ดัชนี CPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ปรับตัวลง 0.8% ในเดือน ม.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าอาจลดลง 0.5% และเป็นการปรับตัวลงมากกว่าในเดือน ธ.ค. 2566 ที่ลดลง 0.3% โดยดัชนี CPI เดือน ม.ค.ของจีนปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ส่วนดัชนี PPI ซึ่งเป็นมาตรวัดต้นทุนสินค้าที่หน้าประตูโรงงาน ลดลง 2.5% ในเดือน ม.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเดือนที่ 16
  • ตลาดหุ้นไทยปิดลบ ส่วนใหญ่ซื้อขายในแดนลบ กลับมาปิดที่ระดับต่ำกว่า 1,400 จุด เนื่องจากตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองว่า ธปท. อาจประกาศลดดอกเบี้ย 1 – 3 ครั้งในปีนี้ ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่า ในขณะที่ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในอาเซียนปิดปรับตัวลดลงเช่นกัน

มุมมองการลงทุนจาก บลจ.กรุงศรี

หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานออกมาต่ำกว่าคาด สะท้อนภาพตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง ประกอบกับเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายส่งสัญญาณสนับสนุนให้เฟดยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง จนกว่าจะเห็นเงินเฟ้อปรับลดลงมาแตะระดับ 2% อย่างมีเสถียรภาพนั้น โดย บลจ. มองว่าดอกเบี้ยน่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว รอเพียงสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยจากเฟดเท่านั้น แนะนำหาโอกาสสะสมกองทุนตราสารหนี้ทั่วโลก เมื่ออัตราผลตอบแทน (bond yield) อยู่เหนือระดับ 4% โดยคาดหวังผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา (capital gain) หากเฟดปรับลดดอกเบี้ยลง

สรุปภาพรวมตลาด

  • ต่างประเทศ
    • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 38,726.33 จุด เพิ่มขึ้น 48.97 จุด หรือ +0.13%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,997.91 จุด เพิ่มขึ้น 2.85 จุด หรือ +0.06% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,793.72 จุด เพิ่มขึ้น 37.07 จุด หรือ +0.24%
    • ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 485.27 จุด ลดลง 0.36 จุด หรือ -0.07%
    • ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 36,863.28 จุด พุ่งขึ้น 743.36 จุด หรือ +2.06%
    • ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 2,865.90 จุด เพิ่มขึ้น 36.21 จุด หรือ +1.28%
    • สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน มี.ค. เพิ่มขึ้น 2.36 ดอลลาร์ หรือ 3.2% ปิดที่ 76.22 ดอลลาร์/บาร์เรล
    • สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน เม.ย. ลดลง 3.8 ดอลลาร์ หรือ 0.18% ปิดที่ 2047.9 ดอลลาร์/ออนซ์
  • ในประเทศ
    • SET ปิดที่ 1,388.60 ลบ 11.42 จุด (-0.82%) Trading Volume: 43,082.48 ล้านบาท – มูลค่าการซื้อขายค่อนข้างน้อย โดยตลาดหุ้นไทยมีการซื้อขายมากที่สุดในหุ้นกลุ่มพลังงาน (-0.38%) ตามด้วยกลุ่มธนาคาร (-0.84%) และกลุ่มพาณิชย์ (-1.13%) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,936.13 ล้านบาท
    • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปิดปรับลดลง 2-8 bps แบ่งตามช่วงอายุ ดังนี้
      • อายุ 1-5 ปี ปิดปรับลดลง 2-8 bps
      • อายุ >5-10 ปี ปิดปรับลดลง 6-10 bps
      • อายุ >10 ปีขึ้นไป ปิดปรับลดลง 3-8 bps
      • IRS SWAP ปิดปรับลดลง 2-10 bps   
    • นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 9,713.87 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,679.41 ล้านบาท
ที่มา: Bloomberg, Econaday, KSS, Ryt9
 
กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศคุณภาพดี
คลิก:
KFSINCFX-A | KF-CSINCOM | KF-SINCOME | KFSINCRMF 
ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | สำหรับกองทุน SSF/RMF/LTF/Thai ESG ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน|สำหรับกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศจะมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง หรือสังคมของประเทศที่กองทุนไปลงทุนได้ | เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูล แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือและความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

ย้อนกลับ


ลงทุนในกองทุนรวมบลจ.กรุงศรี

บลจ.กรุงศรีมีกองทุนรวมหลายประเภทให้เลือกลงทุนสำหรับทุกเป้าหมายการลงทุน