สรุปภาวะตลาดรายวัน


บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด
08/12/2566

ปัจจัยสำคัญ 

  • ตลาดหุ้นสหรัฐทั้ง 3 ดัชนีหลักปิดบวก นำโดยดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้นกว่า 1% เนื่องจากกระแสตอบรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งรวมถึงหุ้นอัลฟาเบท และหุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดีไวซ์ (AMD)
  • หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล พุ่งขึ้น 5.3% หลังจากกูเกิลประกาศเปิดตัว "เจมีไน (Gemini)" โมเดล AI รุ่นใหม่ที่ล้ำสมัย ซึ่งจะช่วยให้บริษัทและองค์กรต่าง ๆ สามารถยกระดับการบริการลูกค้าผ่านแชตบอตและคำแนะนำผลิตภัณฑ์
  • หุ้น AMD ทะยานขึ้นเกือบ 10% หลังจาก AMD ได้แสดงความเชื่อมั่นว่าชิป AI ของบริษัทที่ใช้สำหรับศูนย์ข้อมูล (Data Center) จะมีมูลค่าสูงถึง 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้ นอกจากนี้ หุ้น AMD ยังได้แรงหนุนจากรายงานที่ว่า บริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์, โอเพนเอไอ และไมโครซอฟท์ จะใช้ "MI300X" ซึ่งเป็นชิป AI รุ่นล่าสุดของ AMD
  • กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 1,000 ราย สู่ระดับ 220,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว แต่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 222,000 ราย ขณะที่จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องลดลง 64,000 ราย สู่ระดับ 1.86 ล้านราย
  • นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางชั้นนำของโลก 3 แห่งในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปี 2566 โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะจัดการประชุมในวันที่ 12-13 ธ.ค. ส่วนธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) จะจัดการประชุมตรงกันในวันที่ 14 ธ.ค. ด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางทั้ง 3 แห่งจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า โดยคาดกันว่าเฟดและ ECB จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยพร้อมกันในเดือน มี.ค. 2567 ขณะที่ BoE จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในไตรมาส 4 ของปีหน้า
  • FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 97.5% ในการคาดการณ์ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25 - 5.50% ในการประชุมวันที่ 12 - 13 ธ.ค. 2566 และให้น้ำหนัก 83.8% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในเดือน ม.ค. 2567 และให้น้ำหนัก 51.7% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00 - 5.25% ในการประชุมเดือน มี.ค. 2567
  • นักลงทุนรอติดตามการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันนี้ (8 ธ.ค.) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้แนวโน้มตลาดแรงงานและทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด
  • ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ หลังเยอรมนีเปิดเผยข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงเกินคาดในเดือน ต.ค. และหลังจากเปิดเผยข้อมูลยอดสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมเดือน ต.ค. ลดลงเกินคาดเช่นกัน ทำให้นักลงทุนวิตกว่าภาคอุตสาหกรรมที่อ่อนแอจะถ่วงเศรษฐกิจของเยอรมนีซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดของยูโรโซน
  • เศรษฐกิจยูโรโซนในไตรมาส 3/23 หดตัว 0.1% จากไตรมาสก่อนหน้า และทรงตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน หลังจากในไตรมาส 2/23 โต 0.1% จากไตรมาสก่อนหน้า และขยายตัว 0.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากการลดลงของสินค้าคงคลัง
  • ผลสำรวจของรอยเตอร์บ่งชี้ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในไตรมาส 2 ของปีหน้า ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ ขณะที่เศรษฐกิจยูโรโซนเข้าสู่ภาวะถดถอยเล็กน้อยในระยะสั้น
  • ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดลบ นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคารรายใหญ่ของจีนร่วงลง หลังจากมูดี้ส์ประกาศลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารจีน 8 แห่งลงสู่เชิงลบจากมีเสถียรภาพเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. โดยธนาคารทั้ง 8 แห่งได้แก่ อะกริคัลเจอรัล ดีเวลลอปเมนต์ แบงก์ ออฟ ไชน่า, ไชน่า ดีเวลลอปเมนต์ แบงก์ ธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออกแห่งประเทศจีน (The Export-Import Bank of China) อะกริคัลเจอรัล แบงก์ ออฟ ไชน่า แบงก์ ออฟ ไชน่า ไชน่า คอนสตรักชัน แบงก์ คอร์ป อินดัสเทรียล แอนด์ คอมเมอร์เชียล แบงก์ ออฟ ไชน่า และโพสทัล เซฟวิ่ง แบงก์ ออฟ ไชน่า
  • มูดี้ส์ระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้ธนาคารจีน 8 แห่งของจีนถูกปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือในครั้งนี้ มาจากการที่มูดี้ส์ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลจีนลงสู่เชิงลบ จากมีเสถียรภาพเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับระดับหนี้สินของประเทศ
  • สำนักงานศุลกากรจีน (GAC) รายงานวานนี้ว่า ยอดส่งออกเดือน พ.ย. ปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตของจีนอาจจะเริ่มได้ปัจจัยบวกจากการค้าโลกที่ฟื้นตัวขึ้น โดยยอดส่งออกเดือน พ.ย. ของจีนปรับตัวขึ้น 0.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอาจจะลดลง 1.1% หลังจากที่ร่วงลง 6.4% ในเดือน ต.ค. ขณะที่ยอดนำเข้าปรับตัวลง 0.6% สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าอาจจะเพิ่มขึ้น 3.9%
  • อย่างไรก็ตาม ยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลจีนประกาศใช้เมื่อไม่นานมานี้จะมีประสิทธิภาพมากพอในการพลิกฟื้นอุปสงค์ให้แข็งแกร่งขึ้นได้หรือไม่ เนื่องจากวิกฤตตลาดอสังหาริมทรัพย์, อัตราว่างงานและภาคครัวเรือนที่อ่อนแอ ตลอดจนความเชื่อมั่นที่ถดถอยลงนั้น กำลังส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจจีน
  • ตลาดหุ้นไทยปิดลบ มีแรงซื้อขายในแดนลบตลอดทั้งวัน นำโดยการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันในตลาดโลกร่วงลงแรง และส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนโดยรวม ในขณะที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคส่วนใหญ่ปิดปรับตัวลดลงเช่นกัน
  • อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยลดลง 0.25% จากเดือนก่อนหน้า และลดลง 0.44% จากช่วงเดียวกันปีก่อนในเดือน พ.ย. โดยเป็นผลจากราคาพลังงานและค่าโดยสารสาธารณะลดลง ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้น 0.58% จากช่วงเดียวกันปีก่อน  ทางด้านมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทยปรับตัวสูงขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน สู่ระดับ 60.9 ในเดือน พ.ย. จาก 60.2 ในเดือน ต.ค. โดยได้แรงหนุนจากมาตรการลดราคาพลังงานของรัฐบาล และมาตรการฟรีวีซ่า 

มุมมองการลงทุนจาก บลจ.กรุงศรี

ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ที่ต่ำกว่าคาด ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐ แต่จะชะลอตัวลงแบบค่อยเป็นค่อยไป (ซอฟต์แลนดิ้ง) ประกอบกับตลาดเชื่อว่าเฟดจะคงดอกเบี้ยในการประชุมครั้งสุดท้ายของปีในสัปดาห์หน้า และเริ่มลดดอกเบี้ยตั้งแต่ มี.ค. 67 เป็นต้นไป สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะนำลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลก เนื่องจากระดับราคายังอยู่ในโซนที่ถูก มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีจากดอกเบี้ย และส่วนต่างราคา (capital gain) ในอนาคต หากเฟดปรับลดดอกเบี้ยในปีหน้า

สรุปภาพรวมตลาด

  • ต่างประเทศ
    • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,117.38 จุด เพิ่มขึ้น 62.95 จุด หรือ +0.17%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,585.59 จุด เพิ่มขึ้น 36.25 จุด หรือ +0.80% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,339.99 จุด เพิ่มขึ้น 193.28 จุด หรือ +1.37%
    • ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 468.78 จุด ลดลง 1.28 จุด หรือ -0.27%
    • ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ 2,966.21 จุด ลดลง 2.73 จุด หรือ -0.09%
    • สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค. ลดลง 4 เซนต์ หรือ 0.06% ปิดที่ 69.34 ดอลลาร์/บาร์เรล
    • สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน ก.พ. ลดลง 1.50 ดอลลาร์ หรือ 0.07% ปิดที่ 2,046.40 ดอลลาร์/ออนซ์
  • ในประเทศ
    • SET ปิดที่ 1,378.73 ลบ 10.82 จุด (-0.78%) Trading Volume: 41,666.38 ล้านบาท – มูลค่าการซื้อขายน้อย โดยตลาดหุ้นไทยมีการซื้อขายมากที่สุดในหุ้นกลุ่มพลังงาน (-1.12%) ตามด้วยกลุ่มอาหาร (-0.84%) กลุ่มพาณิชย์ (-0.66%) และกลุ่มธนาคาร (-0.23%)  นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,984.05 ล้านบาท
    • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปิดปรับลดลง 1 bp แบ่งตามช่วงอายุ ดังนี้
      • อายุ 1-5 ปี ปิดปรับลดลง 1 bp
      • อายุ >5-10 ปี ปิดปรับลดลง 1 bp
      • อายุ >10 ปีขึ้นไป ปิดปรับลดลง 1 bp
      • IRS SWAP ปิดปรับขึ้น 1 bp   
    • นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 22,587.12 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,915.60 ล้านบาท
ที่มา: Bloomberg, Econaday, KSS, Ryt9

 
กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศคุณภาพดี
คลิก: KFSINCFX-A | KFSINCFX-R KF-CSINCOM | KF-SINCOME | KFSINCRMF
ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | สำหรับกองทุน SSF/RMF/LTF/Thai ESG ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน|สำหรับกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศจะมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง หรือสังคมของประเทศที่กองทุนไปลงทุนได้ | เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูล แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือและความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

ย้อนกลับ


ลงทุนในกองทุนรวมบลจ.กรุงศรี

บลจ.กรุงศรีมีกองทุนรวมหลายประเภทให้เลือกลงทุนสำหรับทุกเป้าหมายการลงทุน