ปัจจัยสำคัญ 

• ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกเนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในภาคธนาคาร หลังจากธนาคารรายใหญ่ในวอลล์สตรีท ประกาศอัดฉีดเงินรวมกันมูลค่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิค แบงก์ (First Republic Bank) หรือ FRB
• กลุ่มธนาคารรายใหญ่ในวอลล์สตรีทได้ตกลงที่จะฝากเงินใน FRB เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธนาคารแห่งนี้ โดยแบงก์ ออฟ อเมริกา, เวลส์ ฟาร์โก, ซิตี้กรุ๊ป และเจพีมอร์แกน จะฝากเงินใน FRB รายละ 5 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่โกลด์แมน แซคส์ และมอร์แกน สแตนลีย์ จะฝากเงินใน FRB รายละ 2.5 พันล้านดอลลาร์ ส่วนธนาคารทรูอิสต์ ไฟแนนเชียล, พีเอ็นซี, ยูเอส แบงคอร์ป, สเตทสตรีท และแบงก์ ออฟ นิวยอร์ก เมลลอน จะฝากเงินใน FRB รายละ 1 พันล้านดอลลาร์
• หุ้นธนาคารเครดิต สวิส ฟื้นตัวขึ้นในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นนิวยอร์ก หลังจากเครดิต สวิส ประกาศขอกู้ยืมเงินจากธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์จำนวน 5 หมื่นล้านฟรังก์ (5.368 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภายใต้โครงการจัดหาเงินกู้แบบครอบคลุมและการจัดหาสภาพคล่องในระยะสั้น
• กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 20,000 ราย สู่ระดับ 192,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 205,000 ราย
• ตลาดหุ้นยุโรปปิดพุ่งขึ้นเนื่องจากการที่ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ให้ความช่วยเหลือแก่เครดิต สวิสนั้น ได้ช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตธนาคาร และได้บดบังความวิตกเกี่ยวกับการที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 50%
• ECB ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 3.50% ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 6 ติดต่อกัน นอกจากนี้ ECB ยังปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อ และเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ด้วย
• ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดร่วงลง เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในภาคธนาคาร
• การล้มละลายของซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (Silicon Valley Bank - SVB) ซึ่งเป็นธนาคารรายสำคัญที่ปล่อยกู้ให้กับธุรกิจสตาร์ตอัปในกลุ่มเทคโนโลยีนั้น ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อกลุ่มสตาร์ตอัปของจีน โดยเฉพาะสตาร์ตอัปที่ต้องพึ่งพาเงินทุนในรูปสกุลเงินดอลลาร์
• SET Index ซื้อขายในแดนลบตลอดทั้งวัน โดยในช่วงเช้าร่วงลง 26.90 จุด จากความกังวลเกี่ยวกับสถานะการเงินของธนาคาร Credit Suisse หลังผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดระบุว่าไม่สามารถให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพิ่มเติม อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวปิดลบน้อยลงหลังธนาคารกลางสวิสเซอร์แลนด์ พร้อมเข้าให้ความช่วยเหลือ ในขณะที่ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในภูมิภาคต่างปิดปรับตัวลดลงเช่นกัน โดยตลาดหุ้นไทยมีการซื้อขายมากที่สุดในหุ้นกลุ่มพลังงาน (-1.58%) และกลุ่มธนาคาร (-1.28%) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,809.63 ล้านบาท

มุมมองการลงทุนจาก บลจ.กรุงศรี

สรุปภาพรวมตลาด

• ต่างประเทศ
  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 32,246.55 จุด พุ่งขึ้น 371.98 จุด หรือ +1.17%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,960.28 จุด เพิ่มขึ้น 68.35 จุด หรือ +1.76% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,717.28 จุด เพิ่มขึ้น 283.22 จุด หรือ +2.48%
  • ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 441.64 จุด เพิ่มขึ้น 5.19 จุด หรือ +1.19%
  • ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,226.89 จุด ลดลง 36.42 จุด หรือ -1.12%
  • สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน เม.ย. เพิ่มขึ้น 74 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 68.35 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน เม.ย. ลดลง 8.30 ดอลลาร์ หรือ 0.43% ปิดที่ 1,923 ดอลลาร์/ออนซ์
• ในประเทศ
  • SET ปิดที่ 1,554.65 ลบ 10.35 จุด (-0.66%)
    Trading Volume: 69,665.73 ล้านบาท – มูลค่าการซื้อขายปานกลาง
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปิดแกว่งตัว 1-3 bps แบ่งตามช่วงอายุ ดังนี้
    • อายุ 1-5 ปี ปิดปรับลดลง 1 bp
    • อายุ >5-10 ปี ปิดปรับขึ้น 1-2 bps
    • อายุ >10 ปีขึ้นไป ปิดปรับแกว่งตัว 1-3 bps
    • IRS SWAP ปิดปรับลดลง 1-5 bps