ตลาดหุ้นสหรัฐแพงเกินไปหรือยัง จับโอกาสด้วยกองทุนไหนดี?
ดร. ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารความเสี่ยงด้านการลงทุน บลจ.กรุงศรี จำกัด
ในบทความก่อนหน้า ผมได้ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่ง ทั้งในด้านตลาดแรงงาน การใช้จ่ายของผู้บริโภค และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยนับตั้งแต่กลางเดือนกันยายนที่ผมเขียนบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐเป็นครั้งแรก จนถึงวันที่ 4 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ดัชนี S&P500 ของสหรัฐปรับตัวขึ้นราว 2% และหลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นสหรัฐก็ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง โดย ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นกว่า 7% จากเมื่อกลางเดือนกันยายน
สำหรับปัจจัยหลักที่หนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นก่อนการเลือกตั้งของสหรัฐ ได้แก่ ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ยังคงมีแนวโน้มแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ฟื้นตัวกลับมา หลังจากเผชิญแรงเทขายในช่วงก่อนหน้านี้ เนื่องจากตลาดมองว่าหุ้นสหรัฐและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีราคาปรับตัวขึ้นมามากและต่อเนื่อง การย้ายเงินไปลงทุนในกลุ่มหุ้นขนาดเล็ก หุ้นกลุ่ม defensive และตลาดหุ้นกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ รวมถึงการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่จะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี จึงเกิด sector rotation ครั้งใหญ่ในรอบหลายปี อย่างไรก็ดี ท้ายที่สุดแล้ว ตลาดก็กลับมาสะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง
หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งเป็นว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ ตลาดหุ้นสหรัฐได้ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากนโยบายของนายทรัมป์ การที่ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นแรงและต่อเนื่องในช่วงนี้ อาจก่อให้เกิดคำถามว่า ตลาดหุ้นสหรัฐตอนนี้แพงเกินไปหรือไม่
หากพิจารณาจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลของสหรัฐยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ดัชนี้ชี้นำทางเศรษฐกิจในภาพรวมยังเป็นไปในเชิงบวก ฯลฯ ส่วนตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมของสหรัฐที่ล่าสุดถึงแม้จะออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดมาก แต่ก็มีสาเหตุมาจากปัจจัยชั่วคราวจากผลกระทบของพายุเฮฮร์ริเคนและการประท้วงหยุดงานของพนักงานบริษัทโบอิ้ง ในขณะที่จำนวนผู้ขอสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์โดยเฉลี่ยปรับตัวลดลง และอัตราการว่างงานยังคงทรงตัวในระดับต่ำ
ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจขยายตัว 2.8% ในปีนี้ ใกล้เคียงกับในปี 2566 ที่ขยายตัว 2.9% และสูงกว่าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดว่าอาจขยายตัว 2.0% นอกจากนี้
ประธานเฟดยังกล่าวหลังการประชุมเฟดครั้งล่าสุดว่า ธนาคารกลางรู้สึกพึงพอใจกับตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณตอกย้ำว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่ง ท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อที่ลดลง
ในแง่ของทิศทางผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ บริษัทส่วนใหญ่รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/67 ออกมาดีกว่าที่คาด และให้แนวโน้มผลประกอบการในอนาคตในเชิงบวก ในขณะที่การกลับเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลให้นักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นมากขึ้น เนื่องจากนายทรัมป์มีนโยบายลดภาษีและผ่อนคลายกฏระเบียบต่างๆเพื่อเอื้ออำนวยให้การประกอบธุรกิจมีความสะดวกมากขึ้น การลดภาษีให้แก่ภาคธุรกิจจะส่งผลโดยตรงให้ผลประกอบการของบริษัทต่างๆปรับตัวดีขึ้น กอปรกับการผ่อนคลายกฏระเบียบต่างๆจะส่งผลให้ภาคธุรกิจมีต้นทุนการดำเนินงานลดลง
นอกจากนี้ การที่เฟดยังคงมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยจะช่วยหนุนความสามารถในการสร้างผลประกอบการที่ดีขึ้นจากต้นทุนการกู้ยืมที่ถูกลง ดังนั้น จึงมีแนวโน้มว่าหลังจากรัฐบาลของนายโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศนโยบายเหล่านี้อย่างเป็นทางการแล้ว นักวิเคราะห์จะทยอยปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนและเป้าหมายราคาใหม่
นอกจากนี้ นโยบายของนายทรัมป์อาจมีการเอื้อประโยขน์ต่อบางธุรกิจหรือบางบริษัท เนื่องจากนายทรัมป์ได้เปิดเผยอย่างชัดเจนว่าจะให้การสนับสนุนในด้านใดบ้าง เช่น การมีนโยบายสนับสนุนให้สหรัฐเป็นเมืองหลวงของสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นต้น
ทั้งนี้ การที่ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นแรงในครั้งนี้ ยังไม่ได้เป็นการปรับขึ้นทั้งตลาด แต่เป็นการปรับขึ้นแรงเฉพาะหุ้นบางกลุ่ม โดยที่กลุ่มหุ้น 7 นางฟ้ายังไม่ได้ปรับตัวขึ้นมามาก และดัชนีหลักของตลาดหุ้นสหรัฐยังอยู่ในกรอบแนวโน้มการปรับขึ้นในระดับที่เป็นปกติ
รวมถึงมีแนวโน้มว่าจะมีเงินทุนไหลกลับเข้าตลาดหุ้นสหรัฐมากขึ้น เนื่องจากนโยบายของนายทรัมป์มีแนวโน้มจะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจของหลายประเทศ และส่งผลลบต่อการค้าโลก ดังนั้น บริษัทในตลาดหุ้นสหรัฐจึงมีแนวโน้มที่จะรายงานผลประกอบการเติบโตดีกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นต่อไป
อย่างไรก็ดี การที่หุ้นบางกลุ่มปรับตัวขึ้นแรงอาจส่งผลให้มีการขายทำกำไรในระยะสั้น ในทางตรงกันข้าม ก็น่าจะมีนักลงทุนระยะยาวที่รอรับการปรับลงของตลาดหุ้น รวมถึงการที่ตลาดกำลังจะเข้าสู่ช่วงเทศกาลวันหยุดช่วงสิ้นปี การซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐอาจเบาบางลง กอปรกับการเคลื่อนไหวของนายทรัมป์ที่อาจจะสร้างความปั่นป่วนรุนแรงได้ ตลาดหุ้นสหรัฐจึงมีโอกาสที่อาจผันผวนรุนแรงพอๆกับโอกาสที่ตลาดอาจแกว่งตัวขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้น นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ ควรสามารถรับความเสี่ยงได้สูง ยอมรับการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นได้ และควรมีเป้าหมายเพื่อรับโอกาสในการรับผลตอบแทนการลงทุนที่ดีในระยะยาว
แนะนำกองทุนหุ้นต่างประเทศและหุ้นสหรัฐ คลิก: KFGG-A | KF-HSMUS | KFUSINDX-A | KFUSINDFX-A | KFUSINDFXRMF | KFNDQ-A | KFNDQRMF
พบทุกคำตอบเรื่องเงินที่ Krungsri The Coach คลิกที่นี่
สามารถสอบถามรายละเอียดข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.กรุงศรี โทร. 02-657-5757 หรือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา
คำเตือน
- ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน ก่อนตัดสินใจลงทุน
- KFGG-A/ KF-HSMUS/KFUSINDX-A ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน
- KFNDQ-A/KFNDQRMF ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
- KFUSINDFX-A/KFUSINDFXRMF ไม่ใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนตํ่ากว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
- ทุกกองทุนมีความเสี่ยงกองทุนระดับ 6 - เสี่ยงสูง
ย้อนกลับ