ดอกเบี้ยขาลง ตลาดผันผวน ทำไมต้องหลบไปที่หุ้น Infra และ Property 


มุมมองการลงทุนหุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์
จากผู้จัดการกองทุนหลัก KFINFRA | KFGPROP และ บลจ.กรุงศรี



มุมมองจาก บลจ.กรุงศรี
โดย คุณเกียรติศักดิ์ ปรีชาอนุสรณ์, CFA ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนทางเลือก บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด
  • ช่วงที่ผ่านมา ตลาดปรับตัวลดลงมาเยอะจาก 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ สงครามการค้า การเปลี่ยนกลุ่มหุ้นจากกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐไปสู่หุ้นกลุ่มอื่นๆ และเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว จึงเกิดการปรับฐานเป็นโอกาสสำหรับมองหาทางเลือกลงทุนครั้งใหม่

ที่มา: FactSet, Goldman Sachs Global Investment Research ณ 6 พ.ย. 67
 
  • บลจ.กรุงศรี นำเสนอ 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดกรุงศรีเน็กซ์เจเนเรชั่นอินฟราสตรัคเจอร์ (KFINFRA) และกองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลพร็อพเพอร์ตี้ (KFGPROP) รับโอกาสเพิ่มผลตอบแทนเมื่อเทรนด์ดอกเบี้ยเป็นขาลง และจากตลาดเริ่มเกิด Sector Rotation ตลาดที่นิ่งมานานจึงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ด้วยความเสี่ยงที่น้อยกว่า
  • จุดเด่นโดยรวมของทั้งสองกองทุน คือ 1) มีความ laggard เป็นภาคอุตสาหกรรมที่ underperform (ให้ผลตอบแทนน้อยกว่าตลาดโดยรวม) มากที่สุดในรอบ 5 ปี จึงมีราคาที่น่าสนใจ 2) ได้รับประโยชน์มากที่สุดเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง 3) การเอาตัวรอดจากสงครามการค้าได้ในช่วงที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งแรก
  •  กองทุนหลักของ KFINFRA คือ UBS (Lux) Infrastructure Equity Fund กองทุนหลักมอร์นิ่งสตาร์ 5 ดาว* ภายใต้การบริหารของ UBS Asset Management ส่วนกองทุนหลักของ KFGPROP คือ Janus Henderson - Global Real Estate Fund ภายใต้การบริหารของ Janus Henderson Investors ซึ่งทั้งสองกองทุนหลักมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น เอาชนะตลาดได้อย่างต่อเนื่องติดต่อกันหลายปี มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในภาคธุรกิจเป็นอย่างดี
*ที่มา: Morningstar rating จาก UBS ณ 28 ก.พ. 68 โดยการจัดอันดับนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดอันดับของสมาคมบริษัทจัดการลงทุนแต่อย่างใด
  •  ในช่วงที่ Bond Yield ปรับตัวลดลงอย่างมากตลอด 10 ปีที่ผ่านมา REITs สร้างผลตอบแทนเอาชนะตลาดได้เฉลี่ย 12% โครงสร้างพื้นฐานทำผลตอบแทนได้ประมาณ 9% ต่อปี ทั้งสองภาคธุรกิจจึงเป็นธุรกิจที่ได้ประโยชน์มากที่สุดเมื่อมีการลดอัตราดอกเบี้ย และช่วงที่ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีในครั้งแรกทำให้ตลาดเกิดความกังวลเรื่องภาษี แต่สองภาคธุรกิจนี้ก็สามารถเอาตัวรอดมาได้เป็นอย่างดี

ที่มา: Bloomberg Finance L.P., ณ 27 ก.พ. 68 และ FactSet, Goldman Sachs Global Investment Research ณ 6 พ.ย. 67
  • ผลการดำเนินงานในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กองทุน KFGPROP ทำผลตอบแทนได้เฉลี่ย 1.9% ซึ่งเหนือกว่าดัชนีกองทุนหลัก ส่วน KFINFRA ทำผลตอบแทนได้เฉลี่ย 5.7% ถือว่าชนะดัชนี Infra จึงแนะนำให้ลงทุน 2 กองนี้ประมาณ 5 - 1 0% ในพอร์ต



 ที่มา: Morningstar Direct, 31 ม.ค. 68

มุมมองจากกองทุนหลัก KFINFRA: UBS (Lux) Infrastructure Equity Fund
โดย Lily Chang, MPhil Investment Specialist, Thematic Equities Executive Director, UBS Asset Management
  • 3 เหตุผลหลักที่ทำให้ Infrastructure เป็นธีมการลงทุนที่น่าสนใจในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน
    • Ageing Infrastructure: โครงสร้างพื้นฐานดั้งเดิมจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้มาตรฐานความปลอดภัย และรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจ
    • Decarbonization: ความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของการลดการปล่อยคาร์บอนจะกระตุ้นการลงทุนในพลังงานทดแทนตามห่วงโซ่ความต้องการพลังงาน
    • Digitalization: การสร้างและใช้งานข้อมูลที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดต้องการการขยายศูนย์ข้อมูล เครือข่ายไฟเบอร์ และโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม
  • คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานดั้งเดิมถึงเวลาที่จะต้องปรับปรุงขนานใหญ่ ปัญหาภาวะโลกร้อนจะทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน การเข้าสู่ยุคดิจิตัลที่ทำให้ต้องมีความต้องการด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จะรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น การเร่งประสิทธิภาพของปัญญาประดิษฐ์ (AI), การประมวลผลข้อมูลในคลาวด์, และ IoT (Internet of Things) ทำให้เกิดความต้องการในธุรกิจประเภท Data Center เครือข่ายใยแก้วและโครงสร้างพื้นฐานด้านเทเลคอมขยายตัวเป็นอย่างมาก
  • โครงสร้างพื้นฐานเป็นธุรกิจที่มีลักษณะคล้ายกับการผูกขาดในหลายภาคส่วน เนื่องจากมีอุปสรรคในการเข้าแข่งขันสูงจากความต้องการสัญญาระยะยาว ทำให้สามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างต่อเนื่อง และมีเงินปันผลอย่างมั่นคง ก่อให้เกิดการลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำค่อนข้างมาก
  • 3 ธีมสำคัญในการลงทุนและการให้น้ำหนักในการจัดพอร์ตลงทุน ได้แก่ Climate change 60% Mobility 25% และ Smart Cities 15% กระจายการลงทุนกว่า 250 บริษัททั่วโลก แต่เน้นตลาดสหรัฐ 70% และให้น้ำหนักใน 40 - 60 บริษัทที่มีความโดดเด่น พื้นฐานการเงินแข็งแกร่ง 

 
  •  กองทุนเน้นเรื่อง Climate Change โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาด  ก๊าซธรรมชาติจะมีบทบาทมากขึ้นในฐานะเป็นแหล่งพลังงานที่มีประสิทธิภาพดีกว่าแหล่งอื่น อีกทั้งสหรัฐยังมีแหล่งก๊าซธรรมชาติอีกเป็นจำนวนมากจึงคาดว่าจะมีการเติบโตสูงมาก ประมาณการความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในสหรัฐจะเติบโตประมาณ 2.8% ต่อปีในระหว่างปี 2024 - 2030 โดยปัจจัยขับเคลื่อนได้แก่การขยายตัวของเศรษฐกิจและประชากร การเปลี่ยนจากพลังงานถ่านหินมาใช้พลังงานก๊าซธรรมชาติ ภาคอุตสาหกรรมต้องการแหล่งพลังงานที่เสถียร

 
  • กองทุนให้น้ำหนักการลงทุนในธุรกิจกลางน้ำสูงถึงประมาณ 30% เช่น บริษัท Targa Resources ผู้ให้บริการท่อส่งก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือและตลาดโลก และเป็นบริษัทที่มีอัตราการเติบโตและกำไรสูงมาก 
  • บริษัทชั้นนำที่กองทุนเข้าไปลงทุนตามธีมการลงทุนด้าน Climate Change ได้แก่ Veolia บริษัทที่จัดการด้านขยะและบริหารจัดการน้ำ ธีม Mobility เช่น สนามบินซูริคและธีม Smart Cities อย่างบริษัท Digital Realty บริษัทด้านดาต้าเซ็นเตอร์ชั้นนำของสหรัฐ

 
  • จุดเด่นของกองทุนคือผลการดำเนินงานที่โดดเด่นเอาชนะตลาดด้วยผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 8.3% ด้วยการบริหารพอร์ตเชิงรุก มีทีมนักวิเคราะห์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะ มีประสบการณ์สูง มีกระบวนการลงทุนอย่างเป็นระบบ คัดสรรบริษัทที่จะเข้าลงทุนโดยพิจารณาประเด็นที่น่าสนใจได้แก่วัฏจักรเศรษฐกิจ ความน่าสนใจของภาคธุรกิจ ความน่าสนใจของตัวบริษัท รวมทั้งพิจารณาปัจจัยความเสี่ยงต่างๆประกอบกันไปด้วย และมีการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลากหลายประเภท

ที่มา: UBS Asset Management ณ 31 ม.ค. 68

มุมมองจากกองทุนหลัก KFGPROP: Janus Henderson - Global Real Estate Fund
โดย Tim Gibson, Co-Head of Global Property Equities, Portfolio Manager, Janus Henderson Investors
  • การกลับมาของประธานาธิบดีทรัมป์จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ และนโยบายภาษีล่าสุดได้เพิ่มความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความผันผวนของตลาดอย่างมีนัยสำคัญ สถานการณ์เช่นนี้จะเอื้อประโยชน์ต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจากคุณสมบัติเชิงรับได้พิสูจน์ให้เห็นว่าได้รับผลกระทบน้อยกว่าภาคธุรกิจอื่นในช่วงที่ตลาดปรับฐานที่ผ่านมา
  • การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนใน 3 รูปแบบคือ เงินปันผล การกระจายความเสี่ยงไปในอสังหาทุกประเภท และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องแบบปลอดภัยในภาวะที่ตลาดมีความผันผวน
  • กองทุนมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกที่มีคุณภาพสูงและกองทุน REITs ซึ่งมีสิทธิ์ในการถือครองทรัพย์สินมากกว่า สามารถบริหารจัดการทรัพย์สินได้โดยตรง และยังได้รับประโยชน์จากต้นทุนทางการเงินที่ต่ำกว่า รวมถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ง่ายกว่าผู้ถือครองอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ
  • แนวคิดและกลยุทธ์ในการลงทุนคือสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต มีความได้เปรียบในการแข่งขัน สอดคล้องกับเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภคที่กำลังเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคดิจิทัล วิถีชีวิตที่ต้องการความสะดวกสบาย การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากร และความยั่งยืน ธีมการลงทุนและภาคธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตได้แก่ โลจิสติกส์ เทคโนโลยีด้านอสังหา และ Healthcare ที่มีราคาน่าสนใจ

 
  • ภาคธุรกิจอสังหาที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่นคือ non-core commercial real estate ใหม่ๆ เช่นที่เกี่ยวข้องกับ Data Center และธุรกิจสุขภาพ ถือเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มการเติบโตโดดเด่น ได้ขยายตัวอย่างมากในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา และในปี 2024 คิดเป็นสัดส่วนถึง 61% ของตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวม
  • เมื่อไม่นานมานี้ กองทุนได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทค้าปลีกและสำนักงาน การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนแนวโน้มของตลาดหลังสถานการณ์โรคระบาด ที่ผู้บริโภคเริ่มกลับไปจับจ่ายที่ร้านค้าจริง และพนักงานก็เริ่มกลับเข้าไปทำงานในสำนักงานอีกครั้ง ส่วนการที่กองทุนให้สัดส่วนน้อยในธุรกิจ Data Centers ก่อนหน้านี้ เป็นเพราะระดับราคาที่ค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม การปรับฐานของตลาดในช่วงที่ผ่านมา ได้เปิดโอกาสให้กองทุนสามารถเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มนี้ได้
  • กลยุทธ์การลงทุนเน้นให้มีความแตกต่างจากกองทุนอื่นด้วยประสบการณ์ทั่วโลกกว่า 25 ปีและมีทีมผู้เชี่ยวชาญในภาคอุตสาหกรรมนี้ถึง 8 คนที่สามารถวิเคราะห์เจาะลึกถึงสินทรัพย์แต่ละตัวเป็นการคัดเลือกหุ้นแบบ bottom up ดังนั้น ไม่ได้สนใจว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่ กลยุทธ์ของกองทุนคือคัดเลือกสินทรัพย์ที่สามารถทนทานได้ในทุกสภาวะตลาดถ้าเกิดอะไรขึ้นก็สามารถกลับมาได้อย่างรวดเร็ว
  • พอร์ตของกองทุนในปัจจุบันลงทุนในตลาดสหรัฐฯ 70% ที่เหลือกระจายไปในยุโรปและเอเชีย

 
  •  จุดเด่นของกองทุนคือให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ คาดการณ์เงินปันผลได้ประมาณ 4% ต่อปีและมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 5 - 6% รวมแล้วคาดการณ์ผลตอบแทนได้อยู่ที่ 10% สำหรับปีนี้

ที่มา: Janus Henderson Investors ณ 31 ธ.ค. 67

หมายเหตุ: สรุปมุมมองการลงทุนข้างต้นจากงานสัมมนา "Infra & Property: 2025 Next Investment Destinations after Rate Cut" วันที่ 11 มี.ค 68 โดยมุมมองของกองทุนหลักได้รับการอัปเดตจากทีมผู้จัดการกองทุนหลัก ณ 9 เม.ย. 2568 ​

นโยบายกองทุน/คำเตือน
  • KFINFRA ลงทุนในกองทุนหลัก UBS (Lux) Infrastructure Equity Fund โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV | ระดับความเสี่ยง 6: เสี่ยงสูง
  • สำหรับ KFGPROP
    • กองทุนลงทุนในกองทุนหลัก Janus Henderson - Global Real Estate Fund โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV | ระดับความเสี่ยง 7: เสี่ยงสูง
    • ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
    • มีนโยบายการลงทุนเฉพาะเจาะจงในหมวดอุตสาหกรรม จึงอาจมีความเสี่ยงและความผันผวนของราคาสูงกว่ากองทุนรวมทั่วไปที่มีการกระจายการลงทุนในหลายอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนทำการลงทุน
  • ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต


ข้อมูลกองทุน KFINFRA-A คลิก

ข้อมูลกองทุน KFGPROP-A คลิก

ข้อมูลกองทุน KFGPROP-D คลิก

ข้อมูลกองทุน KFINFRARMF คลิก

ย้อนกลับ

@ccess Mobile Application

ทำรายการกองทุนสะดวกกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว