หุ้นอินเดีย...โอกาสโตไปกับเศรษฐกิจแกร่ง


ดร. ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารความเสี่ยงด้านการลงทุน บลจ.กรุงศรี จำกัด


ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอินเดียได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก เนื่องจากเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงตามแนวโน้มเศรษฐกิจอินเดียที่ขยายตัวในอัตราที่สูงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่อยูในระดับที่สามารถจัดการได้ นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรของอินเดียส่งผลให้อินเดียมีจำนวนแรงงานและผู้บริโภคเพิ่มขึ้น โดยการประเมินขององค์การสหประชาชาติ (UN) คาดว่าจำนวนประชากรของอินเดียจะอยู่ที่ 1.426 พันล้านคนในปีนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่จำนวนประชากรของอินเดียมีมากกว่าจำนวนประชากรของจีนแผ่นดินใหญ่ พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลางที่จะส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคในอินเดียเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง

สำหรับตลาดหุ้นอินเดีย ดัชนีที่คนไทยคุ้นเคยมากที่สุด ได้แก่ BSE Sensex Index ซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นขนาดใหญ่ 30 บริษัทแรก จากหุ้นทั้งหมดกว่า 5,300 บริษัทที่จดทะเบียนใน Bombay Stock Exchange ส่วนอีกดัชนีของตลาดหุ้นอินเดียที่ได้รับความนิยมเช่นกันได้แก่ Standard & Poor’s CNX Nifty Index ซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นขนาดใหญ่ 50 บริษัทแรก จากหุ้นทั้งหมดกว่า 2,100 บริษัท กลุ่มหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นอินเดียประกอบไปด้วยหุ้นกลุ่มธนาคาร กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และกลุ่มพลังงาน ซึ่งบริษัทเหล่านี้มีแนวโน้มได้ประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร การพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี และการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย

สำหรับการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นอินเดียเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีสาเหตุหลักจากการร่วงลงของหุ้น Adani Group ซึ่งเป็นบริษัทประกอบธุรกิจข้ามชาติขนาดใหญ่ มีมูลค่าบริษัทราว 2.18 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จากปัญหาการสร้างราคาหุ้นและตกแต่งบัญชี ซึ่งปัญหาดังกล่าวส่งผลให้ทาง Securities and Exchange Board of India (SEBI) ได้ทำการปรับปรุงเกณฑ์เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและปกป้องนักลงทุนมากขึ้น

ตลาดหุ้นอินเดียยังคงมีทิศทางเป็นขาขึ้นและทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่เมื่อปลายเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยตลาดหุ้นอินเดียเป็นตลาดหุ้นที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากสหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่น มีมูลค่าตลาดมากกว่าตลาดหุ้นอังกฤษและฝรั่งเศสรวมกัน การปรับตัวขึ้นตลาดหุ้นอินเดียสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจอินเดียและความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มของการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ตลาดหุ้นอื่นๆ ถึงแม้หลายตลาดปรับตัวดีขึ้น แต่ก็ยังคงได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางและความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่าเศรษฐกิจอินเดียอาจขยายตัวราว 5.9% ในปีนี้ และสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P ได้ปรับเพิ่มมุมมองเครดิตของอินเดียเป็นบวก

ด้านการลงทุนในตลาดหุ้น จำนวนชาวอินเดียที่ลงทุนในตลาดหุ้นในประเทศยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำมาก บ่งชี้ว่ามีโอกาสที่ความต้องการลงทุนในตลาดหุ้นของชาวอินเดียยังสามารถเติบโตได้อีกมาก ในขณะที่ค่า P/E ของตลาดหุ้นอินเดียอยู่สูงกว่าตลาดหุ้นอื่นๆในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่อยู่ราว 70% และสูงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯประมาณ 10% ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดหุ้นอินเดียแพงกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าตลาดหุ้นอินเดียแพงอย่างมีเหตุผล โดยนาย Nirav Sheth ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Emkay Global Financial Services ระบุว่า เขาคาดว่าตราสารทุนจะเป็นประเภทสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดในช่วง 3 ปีข้างหน้า และคาดว่าสินค้าทุนจะเข้าสู่วัฏจักรขาขึ้นที่ยาวนาน เนื่องจากภาคการผลิตขยายตัวมากขึ้น โดยที่การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานยังคงเป็นแรงสนับสนุนการเติบโตดังกล่าว ในขณะที่นาย Mukesh Kochar จาก AUM Capital ระบุว่า ภาคธนาคารของอินเดียมีเงินทุนที่แข็งแกร่งและมีทรัพย์สินที่รอการขาย (NPA) อยู่ในระดับต่ำ และนาย Siddhartha Khemka จาก MOSL ระบุว่าอุปสงค์จากภาคเกษตรกรรมมีสัญญาณฟื้นตัว ซึ่งจะส่งผลดีต่อการบริโภค

ในส่วนของนโยบายภาครัฐ นายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีของอินเดีย ยังคงเดินหน้าดึงเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ โดยอินเดียมีความได้เปรียบในแง่ของจำนวนแรงงานที่มีมาก ค่าจ้างแรงงานที่อยู่ในระดับต่ำ และตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ นอกจากนี้ รัฐบาลยังคงเดินหน้าลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ
จะเห็นได้ว่าถึงแม้ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง และอาจดูแพงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ แต่เมื่อพิจารณาจากทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจ แนวโน้มของรายได้ของบริษัทจดทะเบียน และความสนใจของนักลงทุนทั่วโลก ตลาดหุ้นอินเดียจึงมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง 

สิ่งที่นักลงทุนต้องพิจารณาเพิ่มเติมสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย ได้แก่ ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากกองทุนต่างประเทศที่กองทุนไทยนำเงินไปลงทุน (Master fund) ไม่ได้กำหนดมูลค่าหน่วยลงทุนเป็นรูปีอินเดีย โดยส่วนใหญ่กำหนดเป็นดอลลาร์สหรัฐหรือยูโร  ดังนั้น กองทุนของไทยที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียจึงมีความเสี่ยงจากทั้งค่าเงินรูปีและค่าของเงินประเทศที่ Master Fund กำหนด ซึ่งอาจส่งผลให้ในบางช่วงตลาดหุ้นอินเดียให้ผลตอบแทนเป็นบวก แต่กองทุนหุ้นอินเดียของไทยอาจให้ผลตอบแทนเป็นลบจากผลของการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน

ดังนั้น ผู้ที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียจึงควรเป็นผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง ทั้งในแง่ความผันผวนของตลาดหุ้นและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และควรศึกษาหรือข้อมูลเพิ่มเติมจากที่ปรึกษาการลงทุนก่อนการตัดสินใจลงทุน
 
กองทุนกรุงศรีที่เน้นลงทุนในหุ้นอินเดีย ได้แก่ KF-INDIA และ KFINDIARMF
 
พบทุกคำตอบเรื่องเงินที่ Krungsri The Coach คลิกที่นี่ 







ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
สามารถสอบถามรายละเอียดข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.กรุงศรี  โทร. 02-657-5757
หรือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา



ข้อมูลกองทุน KF-INDIA คลิก

ข้อมูลกองทุน KFINDIARMF คลิก

ย้อนกลับ

@ccess Mobile Application

ทำรายการกองทุนสะดวกกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว