ดร. ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารความเสี่ยงด้านการลงทุน บลจ. กรุงศรี จำกัด
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาของปีนี้ ผมได้เขียนถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยไว้หลายครั้ง เช่น การส่งออกไทยมีแนวโน้มดีกว่าที่คาด (เม.ย. 60) เศรษฐกิจไทยโตดีต่อเนื่อง (มิ.ย. 60) เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณเร่งตัวขึ้น (ก.ค. 60) และเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มโตดีกว่าคาด (ก.ย. 60) ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้ หลายหน่วยงานได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ตัวเลขการส่งออกและจีดีพีของปีนี้ขึ้นแล้ว
การที่ในช่วงก่อนหน้านี้หน่วยงานส่วนใหญ่ประเมินเศรษฐกิจไทยต่ำเกินไปถึงแม้ข้อมูลเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศเป็นไปในทิศทางบวกอย่างต่อเนื่อง เป็นเพราะนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีความกังวลเกี่ยวการบริโภคภายในประเทศ โดยเฉพาะในภาคการเกษตรและในชนบท ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการเมืองภายในประเทศ ความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ความเสี่ยงเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทั้งในซีเรียและในคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งการที่มีปัจจัยเสี่ยงอยู่มากส่งผลให้หน่วยงานต่างๆต้องทำการประเมินแบบระมัดระวัง เนื่องจากหากมีปัจจัยเสี่ยงใดส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ก็อาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะอ่อนแอ ดังนั้น ผู้ที่กล้าลงทุนใน LTF ในช่วงก่อนหน้านี้ จึงน่าจะเป็นนักลงทุนที่มองเห็นโอกาสจากความเสี่ยง และคงจะมีความสุขกับการลงทุนอยู่ในตอนนี้
สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจเดือน ก.ย. ที่ ธปท. รายงานเมื่อสิ้นเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน ดัชนีผลผลิตภาคการผลิต และอัตราการใช้กำลังการผลิต ต่างปรับตัวดีขึ้น โดยได้แรงหนุนหลักมาจากการผลิต และยอดขายรถยนต์ สอดคล้องกับรายงานของสภาอุตสาหกรรมที่รายงานไปก่อนหน้านี้ว่า อุตสาหกรรมรถยนต์ปรับตัวดีขึ้น โดยได้แรงหนุนจากหลายปัจจัย เช่น การที่ผู้บริโภคหมดภาระจากรถคันแรก การนำเสนอรถรุ่นใหม่ การส่งออกรถกระบะไปตะวันออกกลางกลับมาฟื้นตัว เป็นต้น ในขณะที่ภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
จากสัญญาณตัวเลขเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีมากขึ้น และขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น ส่งผลให้ ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสามอาจโตถึง 4% ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง และอาจโตมากกว่า 4% ได้ เนื่องจากในไตรมาสสามตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวเติบโตได้ดีกว่าที่คาด โดยเฉพาะด้านการส่งออก นอกจากนี้ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในไตรมาสสามที่กำลังทยอยรายงานอยู่ ณ ตอนนี้ ต่างปรับตัวดีขึ้น สะท้อนถึงเศรษฐกิจที่ขยายตัวดีขึ้นทั้งในและต่างประเทศ และส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 1,700 จุดได้
ณ จุดนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่อาจกังวลว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยอยู่ที่ระดับสูงเกินไป อาจเป็นเพราะความคุ้นชินกับการที่ดัชนีอยู่ที่ระดับต่ำกว่านี้ แต่เมื่อพิจารณาถึงเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่สูงขึ้น อีกทั้งยังมีปัจจัยบวกอยู่อีกมากที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า เช่น การลงทุนของภาครัฐที่จะมีการเบิกจ่ายมากขึ้น การใช้จ่ายเพื่อกิจกรรมเกี่ยวกับการเลือกตั้ง การออกรถโมเดลใหม่ของผู้ผลิตรายใหญ่ที่จะช่วยกระตุ้นยอดขาย การแข่งขันฟุตบอลโลกที่จะช่วยกระตุ้นการบริโภค เป็นต้น ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าการประเมินเศรษฐกิจในปีหน้าของหลายหน่วยงานยังไม่ได้ให้น้ำหนักในเรื่องเหล่านี้ ดังนั้น เศรษฐกิจไทยในปีหน้ายังคงมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ดีกว่าที่คาดเช่นกัน
การที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตได้ดีนี้ จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย ซึ่งมีโอกาสที่ดัชนีอาจไปซื้อขายที่ระดับ P/E สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทต่างๆมีโอกาสที่จะเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต อีกทั้งในปัจจุบันนี้บริษัทที่เติบโตสูงและมีค่า P/E สูงมีน้ำหนักในการคำนวณดัชนีมากขึ้น ส่งผลให้การเทียบค่า P/E ตลาดกับค่าเฉลี่ยในอดีตอาจไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมนัก ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปีหน้าจะยังคงอยู่ไม่เกิน 1,850 จุด หรือเพิ่มจากระดับปัจจุบันราว 8% (ไม่รวมเงินปันผล) ซึ่งถือว่าเป็นการประเมินที่ไม่สูงมากนัก
"
จากการที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงประเมินเศรษฐกิจ และดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในเชิงบวก
อย่างระมัดระวัง สะท้อนว่าตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ และอาจดีกว่าที่คิด
ดังนั้น การซื้อ LTF ในตอนนี้อาจดูเหมือนแพง แต่อาจกลายเป็นระดับที่ถือว่าถูกในอนาคต
"
และนักลงทุนต้องไม่ลืมว่า การลงทุนใน LTF จะต้องถือไว้อย่างน้อย 7 ปีปฏิทิน ซึ่งนักลงทุนควรประเมินตัวเองว่าสามารถรับได้หรือไม่กับระยะเวลาการลงทุนที่ยาวนานขึ้น และควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน เพื่อเลือกการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวท่าน