ตอนที่ 2 : ออมไม่พอ ต้องลงทุน


ออมไม่พอ ต้องลงทุน



เงินออม เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายในชีวิตได้ แต่การออมเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ โดยเฉพาะเมื่อเป้าหมายหลายอย่างต้องใช้เงินจำนวนมาก นี่คือเหตุผลที่เราต้องมีการลงทุนเพื่อให้เงินเติบโตต่อเนื่อง โดยไม่ต้องพึ่งพาเพียงแค่รายได้จากการทำงานหรือดอกเบี้ยเงินฝากที่ได้รับอัตราผลตอบแทนต่ำ

จุดประสงค์ของการออมกับการลงทุนนั้น คือการทำให้เราบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ตั้งไว้ แต่ความแตกต่างคือ การลงทุนช่วยเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนมากขึ้น และช่วยให้ใช้เวลาน้อยกว่าในการบรรลุเป้าหมายในชีวิตได้มากกว่าการออมเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม ก่อนจะไปถึงการลงทุน เราต้องมีเงินออมสำรองอย่างน้อย 6 เดือน ไว้ก่อน แล้วจึงนำเงินส่วนที่เกินจากนี้ไปลงทุน

เงินเฟ้อเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การออมเงินเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอในการบรรลุเป้าหมายทางการเงิน เพราะเงินเฟ้อทำให้มูลค่าเงินที่เราถืออยู่ลดลง เช่น เมื่อ 20 ปีก่อน ราคาก๋วยเตี๋ยวชามละ 30 บาท แต่ปัจจุบันอาจสูงถึง 50 บาท ซึ่งหมายความว่าหากเรามีเงิน 100 บาทเมื่อ 20 ปีก่อน เราจะซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ 3 ชาม แต่ในปัจจุบันเงิน 100 บาทจะซื้อได้น้อยลง ในขณะที่รายได้หรือเงินเดือนของเราไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นทันกับเงินเฟ้อซึ่งแปลว่าอำนาจซื้อของเราลดลง

เราจึงต้องลงทุนให้ชนะเงินเฟ้อ เพื่อรักษาอำนาจซื้อของเงินออม มิเช่นนั้นเราอาจจะ “จนลง” โดยไม่รู้ตัว 
ตัวอย่างของการออมและการลงทุน แสดงให้เห็นถึง 3 ปัจจัยสำคัญ ที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมาย ได้แก่
  1. เงินลงทุน
  2. ระยะเวลาการลงทุน
  3. อัตราผลตอบแทน
โดยสมมติว่าเป้าหมายคือต้องการ มีเงิน 1 ล้านบาทเมื่อเกษียณ (อายุ 60 ปี)
หากเราเริ่มออมเร็วตั้งแต่อายุ 25 ปี เราจะมีระยะเวลาในการลงทุน 35 ปี
  • หากได้ผลตอบแทน 2% ต่อปี เราจะบรรลุเป้าหมาย 1 ล้านบาท ได้ด้วยการออมเงิน เดือนละ 1,649 บาท
  • แต่หากเลือกลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเป็น 6% ต่อปี เราจะสามารถลดจำนวนเงินลงทุนต่อเดือนเหลือเพียง 724 บาท เท่านั้น
ในทางกลับกันหากเริ่มออมช้า เช่น เริ่มต้นตอนอายุ 50 ปี
  • จะมีระยะเวลาลงทุนเหลือเพียง 10 ปี
  • หากได้ผลตอบแทน 2% ต่อปี เราจะต้องออมเงินมากถึง เดือนละ 7,529 บาท เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเดียวกัน
  • แต่ถ้าลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นและได้รับผลตอบแทนสูงขึ้นที่ 6% ต่อปี เงินลงทุนต่อเดือนจะลดลงเหลือ 6,125 บาท
จากตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่า
  • "ออมก่อน รวยกว่า"
  • "ออมมากกว่าย่อมดีกว่าออมน้อย"
  • "ลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า" ย่อมทำให้เงินทำงานได้เต็มประสิทธิภาพด้วยพลังของดอกเบี้ยงทบต้น
นอกจากนี้ หากเราสามารถเลือกลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น จะช่วยลดภาระเงินต้นที่ต้องออมต่อเดือน ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตได้สบายขึ้น โดยไม่ต้องเร่งรีบหาเงินก้อนใหญ่มาลงทุนในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ผลตอบแทนสูงย่อมมาพร้อมความเสี่ยงที่จะขาดทุนสูงเช่นกัน
การเปลี่ยนจาก “เงินออม” เป็น “เงินลงทุน” จึงไม่ได้ยากอย่างที่คิด

สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาก็คือ 
  • หากต้องการผลตอบแทนสูงกว่า "ดอกเบี้ยเงินฝาก" เราต้องยอมรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
  • ในโลกของการลงทุน "ไม่มีผลตอบแทนสูงโดยไม่มีความเสี่ยง" เพราะการลงทุนเปรียบเสมือนเหรียญสองด้าน คือ "ผลตอบแทน" และ "ความเสี่ยง" ที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบ
สรุป: การออมเงินเป็นเรื่องสำคัญ แต่ออมอย่างเดียวไม่เพียงพอ หากต้องการให้เงินเติบโตและมีอำนาจซื้อที่มั่นคงในระยะยาว เราต้องลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี และยิ่งเริ่มต้นเร็วยิ่งได้เปรียบ ดังนั้น เริ่มออมและลงทุนตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้เงินทำงานแทนคุณและนำมาซึ่งความมั่นคงทางการเงินในอนาคต

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

อ่านตอนที่ 1 : ออมเป็น ออมดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

ย้อนกลับ

@ccess Mobile Application

ทำรายการกองทุนสะดวกกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว