ปัจจัยสำคัญ 

• ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวขึ้นจากที่ลงแรงในวันพฤหัสบดี (23 พ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากตัวเลขเงินเฟ้อคาดการณ์ของมหาวิทยาลัยมิชิแกนปรับลดลง รวมถึงผลประกอบการของ NVIDIA ที่ออกมาดี เริ่มส่ง Sentiment ไปยังหุ้น AI ตัวอื่นๆ ทำให้ Nasdaq ขึ้นทำ All Time High ได้อีกครั้ง
• ตลาดหุ้นยุโรป STOXX 600 ปิดลบ เนื่องจากความไม่แน่นอนในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) หลัง ECB เตือนไม่ปรับลดดอกเบี้ยหลังเดือน มิ.ย. เพื่อหลีกเลี่ยงการเพิ่มแรงกดดันด้านราคา โดยเฉพาะหากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังไม่ลดดอกเบี้ย ทำให้นักลงทุนระมัดระวังมากขึ้น
• ตลาดหุ้นญี่ปุ่น Nikkei ปรับตัวลงแรง โดยได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงของตลาดหุ้นสหรัฐในวันพฤหัสบดี (23 พ.ค.) หุ้นเทคโนโลยีและอสังหาริมทรัพย์ถูกเทขายเนื่องจากความกังวลเรื่องต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นเป็น 1.005% สูงสุดตั้งแต่เดือน เม.ย. 2555
• ตลาดหุ้นจีน Shanghai Composite ปิดลบ เนื่องจากความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐ รวมถึงการซ้อมรบของจีนรอบเกาะไต้หวันหลังประธานาธิบดีใหม่ของไต้หวันเข้ารับตำแหน่ง โดยสหรัฐและสหประชาชาติเรียกร้องให้จีนยับยั้งความตึงเครียด
• ตลาดหุ้นไทย SET ปิดลบเล็กน้อยจากแรงขายในกลุ่มโรงไฟฟ้า เนื่องจากความกังวลเรื่องต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่มส่งออกอาหารปรับตัวขึ้นจากผลการดำเนินงานที่ดีและเงินบาทอ่อนค่า

มุมมองการลงทุนจาก บลจ.กรุงศรี

• ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยเฉพาะภาคการผลิตออกมาค่อนข้างดี ทำให้ Bond Yield 10 ปี ของสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้งมาที่บริเวณ 4.5% กดดันตลาดหุ้นในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงมองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุนตราสารหนี้โลกอีกครั้งผ่านกองทุน KF-CSINCOM เนื่องจากค่าเงินบาทได้อ่อนค่ากลับมาที่ 36.6 แล้ว
• นอกจากนั้น เราเห็นการกลับมา Outperform ของตลาดหุ้นอินเดีย ที่ขึ้นทำ All Time High ได้ในสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากยืนนิ่งมาราว 3 เดือน โดยการเลือกตั้งทั่วไปในอินเดียจะสิ้นสุดลงในสัปดาห์หน้า แต่ด้วยความที่ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว หากต้องการซื้อเพิ่ม แนะนำว่าสามารถซื้อได้แต่ในสัดส่วนไม่มากเพื่อจำกัดความเสี่ยง

สรุปภาพรวมตลาด

• ต่างประเทศ
  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 39,069.59 จุด เพิ่มขึ้น 4.33 จุด หรือ +0.01%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,304.72 จุด เพิ่มขึ้น 36.88 จุด หรือ +0.70% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 16,920.80 จุด เพิ่มขึ้น 184.77 จุด หรือ +1.10%
  • ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 520.57 จุด ลดลง 0.99 จุด หรือ -0.19%
  • ดัชนีนิกเกอิปิดที่ตลาดที่ระดับ 38,646.11 จุด ร่วงลง 457.11 จุด หรือ -1.17%
  • ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,088.87 จุด ลดลง 27.52 จุด หรือ -0.88%
  • ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดที่ 75,410.39 ลบ 7.65 จุด หรือ 0.01%
  • สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้น 85 เซนต์ หรือ 1.11% ปิดที่ 77.72 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน มิ.ย. ลดลง 2.70 ดอลลาร์ หรือ 0.12% ปิดที่ 2,334.50 ดอลลาร์/ออนซ์
• ในประเทศ
  • SET ปิดที่ 1,364.48 ลบ 3.36 จุด (-0.25%) Trading Volume: 35,858.38 ล้านบาท – มูลค่าการซื้อขายน้อย โดยตลาดหุ้นไทยมีการซื้อขายมากที่สุดในหุ้นกลุ่มพลังงาน (-0.07%) ตามด้วยกลุ่มธนาคาร (+0.06%) และกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (+0.39%)  นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,014.36 ล้านบาท
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปิดปรับขึ้น 1 bp แบ่งตามช่วงอายุ ดังนี้
    • อายุ 1-5 ปี ปิดปรับขึ้น 1 bp
    • อายุ >5-10 ปี ปิดไม่เปลี่ยนแปลง
    • อายุ >10 ปีขึ้นไป ปิดปรับขึ้น 1 bp
    • IRS SWAP ปิดปรับลดลง 1 bp
  • นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,355.61 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 62.87 ล้านบาท

• หุ้นอินเดีย คลิก: KFINDIA-A | KFINDIARMF
• ตราสารหนี้ต่างประเทศคุณภาพดี คลิก: KFSINCFX-A | KFSINCFX-R | KF-CSINCOM | KF-SINCOME | KFSINCRMF