สรุปภาวะตลาดรายวัน


บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด
24/05/2567

ปัจจัยสำคัญ 

  • ตลาดหุ้นสหรัฐปิดลบโดยดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีร่วงลง หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจและตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง ขณะที่เงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยรายงานของเอสแอนด์พี โกลบอลยังระบุว่า กลุ่มผู้ผลิตรายงานว่าต้นทุนการผลิตสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นวงกว้าง ตั้งแต่โลหะ เคมีภัณฑ์ พลังงาน ไปจนถึงต้นทุนแรงงาน ซึ่งบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อที่เกิดจากราคาสินค้ามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และอาจทำให้เฟดชะลอเวลาในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยความวิตกกังวลในเรื่องดังกล่าวได้บดบังปัจจัยบวกจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดของบริษัทอินวิเดีย (Nvidia)
  • ตลาดหุ้นยุโรปปิดทรงตัว โดยตลาดถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรยุโรปที่ปรับตัวขึ้น หลังจากผลสำรวจขั้นต้นบ่งชี้ว่า กิจกรรมทางธุรกิจของยูโรโซนขยายตัวในอัตราเร็วที่สุดในรอบ 1 ปีในเดือน พ.ค. ส่งผลให้บรรดาเทรดเดอร์คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.58% ภายในสิ้นปีนี้ ลดลงจาก 0.67% ที่คาดไว้ในวันพุธ ปัจจัยดังกล่าวได้บดบังความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการคาดการณ์ผลประกอบการที่แข็งแกร่งจากอินวิเดียซึ่งเป็นบริษัทชิปปัญญาประดิษฐ์ของสหรัฐ โดยตัวเลขทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจ ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) แบบรวมของยูโรโซน ในเบื้องต้นเพิ่มขึ้นสู่ 52.3 ในเดือน พ.ค. จาก 51.7 ในเดือน เม.ย. โดย PMI ภาคการผลิตเพิ่มขึ้นสู่ 47.4 จาก 45.7 ในขณะที่ PMI ภาคบริการทรงตัวที่ 53.3
  • ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดพุ่งขึ้นวานนี้ โดยได้แรงหนุนจากหุ้นเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ที่พุ่งขึ้นหลังจากที่อินวิเดีย บริษัทชิปยักษ์ใหญ่ของสหรัฐรายงานผลประกอบการแกร่งเกินคาด อีกทั้งยังได้แรงหนุนจากตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาแข็งแกร่ง โดยยอดส่งออกของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 8.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อนในเดือน เม.ย. เร่งตัวจากเพิ่มขึ้น 7.3% ในเดือน มี.ค. ทางด้านคำสั่งซื้อเครื่องจักรพื้นฐานเพิ่มขึ้น 2.9% จากเดือนก่อนหน้าในเดือน มี.ค. โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของคำสั่งซื้อในภาคการผลิต PMI แบบรวมของญี่ปุ่นในเบื้องต้นเพิ่มขึ้นสู่ 52.4 ในเดือน พ.ค. จาก 52.3 ในเดือน เม.ย. โดย PMI ภาคการผลิตเพิ่มขึ้นสู่ 50.5 จาก 49.6 ในขณะที่ PMI ภาคบริการลดลงสู่ 53.6 จาก 54.3
  • ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงหลังจากคณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดนระบุว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนรอบใหม่มูลค่า 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.นี้เป็นต้นไป โดยมาตรการดังกล่าวพุ่งเป้าไปที่ภาคส่วนที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจจีนในอนาคต ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าและเซมิคอนดักเตอร์
  • ตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งตัวในกรอบแคบๆ โดยส่วนใหญ่ซื้อขายในแดนลบและปิดปรับตัวลดลง จากความกังวลว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยช้ากว่าที่คาด ด้านตัวเลขทางเศษรฐกิจที่น่าสนใจ กระทรวงพาณิชย์รายงานยอดส่งออกของไทยเพิ่มขึ้น 6.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อนในเดือน เม.ย. หลังจากลดลง 10.9% ในเดือนก่อนหน้า และสูงกว่าที่ตลาดคาดว่าอาจเพิ่มขึ้น 0.35% ส่วนยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 8.3% ส่งผลให้ขาดดุลการค้า 1.64 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

มุมมองการลงทุนจาก บลจ.กรุงศรี

ตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปเริ่มกลับมาถูกกดดันจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐและยุโรปอาจจะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ อีกทั้งในแง่ของระดับราคาเริ่มอยู่ในสภาวะตึงตัว สำหรับนักลงทุนระยะยาวสามารถซื้อแล้วถือลงทุนต่อได้ แต่สำหรับนักลงทุนระยะสั้นอาจจะรอและพิจารณาเข้าซื้อหลังจากนี้

สรุปภาพรวมตลาด

  • ต่างประเทศ
    • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 39,065.26 จุด ลดลง 605.78 จุด หรือ -1.53%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,267.84 จุด ลดลง 39.17 จุด หรือ -0.74% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 16,736.03 จุด ลดลง 65.51 จุด หรือ -0.39%
    • ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 521.56 จุด เพิ่มขึ้น 0.38 จุด หรือ +0.07%
    • ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดที่ระดับ 39,103.22 จุด เพิ่มขึ้น 486.12 จุด หรือ +1.26%
    • ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต 3,116.39 จุด ลดลง 42.15 จุด หรือ -1.33%
    • สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ค. ลดลง 70 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 76.87 ดอลลาร์/บาร์เรล
    • สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน มิ.ย. ลดลง 55.70 ดอลลาร์ หรือ 2.32% ปิดที่ 2,337.20 ดอลลาร์/ออนซ์
  • ในประเทศ
    • SET ปิดที่ 1,367.84 ลบ 2.99 จุด (-0.22%) Trading Volume: 46,236.17 ล้านบาท – มูลค่าการซื้อขายปานกลาง โดยตลาดหุ้นไทยมีการซื้อขายมากที่สุดในหุ้นกลุ่มพลังงาน (-0.76%) ตามด้วยกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (+1.30%) และกลุ่มพาณิชย์ (-0.95%)  นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,014.36 ล้านบาท
    • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปิดปรับลดลง 1-2 bps แบ่งตามช่วงอายุ ดังนี้
      • อายุ 1-5 ปี ปิดปรับลดลง 1-2 bps
      • อายุ >5-10 ปี ปิดปรับลดลง 1-2 bps
      • อายุ >10 ปีขึ้นไป ปิดแกว่งตัว 1-2 bps
      • IRS SWAP ปิดปรับลดลง 1 bp
    • นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 13,669.79 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 458.60 ล้านบาท
ที่มา: Bloomberg, Econaday, KSS, Ryt9
 
กองทุนที่มีนโยบายลงทุนใน
ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | สำหรับกองทุน SSF/RMF/LTF/Thai ESG ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน|สำหรับกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศจะมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง หรือสังคมของประเทศที่กองทุนไปลงทุนได้ | เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลต่างๆที่น่าเชื่อถือได้ ณ วันที่แสดงข้อมูล แต่บริษัทฯ มิอาจรับรองความถูกต้องความน่าเชื่อถือและความสมบูรณ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงข้อมูลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

ย้อนกลับ


ลงทุนในกองทุนรวมบลจ.กรุงศรี

บลจ.กรุงศรีมีกองทุนรวมหลายประเภทให้เลือกลงทุนสำหรับทุกเป้าหมายการลงทุน