ปัจจัยสำคัญ 

• ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับตัวลดลง หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก หากเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่งและตลาดแรงงานยังคงอยู่ในภาวะตึงตัว โดยถ้อยแถลงดังกล่าวของนายพาวเวลส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่งขึ้น
• นายพาวเวลกล่าวในการประชุมที่สมาคมเศรษฐกิจแห่งนิวยอร์ก (Economic Club of New York) เมื่อคืนนี้ว่า ภาวะเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และตลาดแรงงานที่ยังคงตึงตัวของสหรัฐจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก พร้อมกับกล่าวว่าเงินเฟ้อของสหรัฐยังอยู่ในระดับสูงเกินไป และเฟดจะยังคงมุ่งมั่นต่อพันธกรณีในการควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในเป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% อย่างยั่งยืน
• นายพาวเวลยังกล่าวด้วยว่า ตลาดแรงงานและการขยายตัวทางเศรษฐกิจจำเป็นต้องชะลอตัวลงเพื่อให้เฟดบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อ พร้อมกับกล่าวถึงการดำเนินนโยบายของเฟดในอนาคตว่า เมื่อพิจารณาถึงความไม่แน่นอนและความเสี่ยงที่เกิดขึ้น คณะกรรมการเฟดจะดำเนินการอย่างระมัดระวัง โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับขอบเขต และระยะเวลาของการเพิ่มความเข้มงวดของนโยบายการเงินนั้น จะขึ้นอยู่กับข้อมูลที่เฟดได้รับ และแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไป
• แซม สโตวอลล์ นักวิเคราะห์จากบริษัท CFRA Research กล่าวว่า ดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีร่วงลง เนื่องจากถ้อยแถลงของนายพาวเวลได้ดับความหวังของตลาดที่ว่าวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดใกล้จะสิ้นสุดลง การแสดงความเห็นของนายพาวเวลยังสะท้อนให้เห็นว่าภารกิจการควบคุมเงินเฟ้อของเฟดยังไม่เสร็จสิ้น และคาดว่าเฟดจะยังไม่เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงช่วงครึ่งหลังของปีหน้า
• ยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐลดลง 2% สู่ 3.96 ล้านยูนิตต่อปีในเดือน ก.ย. สำหรับจำนวนผู้ขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 13,000 ราย สู่ 198,000 รายในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 14 ต.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. และต่ำกว่าที่ตลาดคาดว่าอาจอยู่ที่ 212,000 ราย
• บริษัท เทสลา เผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 66 เซนต์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 73 เซนต์ และรายได้อยู่ที่ 2.335 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 2.41 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยผลประกอบการของเทสลาอ่อนแอลงหลังจากบริษัทปรับลดราคารถยนต์ไฟฟ้าเพื่อกระตุ้นแรงซื้อ
• บริษัท เน็ตฟลิกซ์ เผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 3.73 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 3.49 ดอลลาร์ และจำนวนสมาชิกที่จ่ายค่าบริการทั่วโลกเพิ่มขึ้น 8.76 ล้านราย แตะระดับ 247.15 ล้านราย ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 5.49 ล้านราย โดยผลประกอบการของเน็ตฟลิกซ์แข็งแกร่งขึ้นหลังจากบริษัทใช้มาตรการห้ามแชร์รหัสบัญชีบริการสตรีมมิง
• ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลง โดยถูกกดดันจากการเปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทจดทะเบียน นอกเหนือไปจากความวิตกเกี่ยวกับสงครามในตะวันออกกลาง และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย
• บริษัท เนสท์เล่ เผยยอดขายรอบ 9 เดือนชะลอการขยายตัว เนื่องจากราคาสินค้าที่สูงขึ้นทำให้ผู้ซื้อชะลอการซื้อ และบริษัท เรโนลต์ ของฝรั่งเศสร่วง 7.3% หลังจากเปิดเผยรายได้ไตรมาส 3 ต่ำกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
• ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่อิสราเอลโจมตีทางอากาศใส่ฉนวนกาซามากขึ้นในวันพฤหัสบดี (19 ต.ค.) ด้านนายกรัฐมนตรีริชี ซูนัคของอังกฤษดำเนินการตามประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐในการเดินทางเยือนอิสราเอลเพื่อแสดงการสนับสนุนของชาติตะวันตกในการทำสงครามกับกลุ่มฮามาส
• ยอดส่งออกของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 4.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือน ก.ย. โดยเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน มิ.ย. และดีกว่าที่ตลาดคาดว่าอาจเพิ่มขึ้น 3.1% เนื่องจากการส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้น 30.4% ส่วนยอดนำเข้าร่วงลง 16.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน หลังจากลดลง 17.7% ในเดือน ส.ค. โดยมีสาเหตุหลักจากราคาพลังงานลดลง ส่งผลให้ญี่ปุ่นเกินดุลการค้า 6.24 หมื่นล้านเยน ซึ่งดีกว่าที่ตลาดคาดว่าอาจขาดดุล 4.25 แสนล้านเยน
• ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดลบ โดยตลาดยังคงถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่างจีนและสหรัฐ หลังจากรัฐบาลสหรัฐขยายขอบข่ายการใช้มาตรการระงับการส่งออกชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้กับจีน โดยมีเป้าหมายที่จะป้องกันไม่ให้จีนนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยไปใช้ในการพัฒนากองทัพ
• ตลาดหุ้นไทยวานนี้ซื้อขายในแดนลบตลอดทั้งวัน ปิดปรับตัวลดลง ทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นในภูมิภาค หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดใหม่ในรอบ 16 ปี และสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสมีแนวโน้มยืดเยื้อ

มุมมองการลงทุนจาก บลจ.กรุงศรี

สรุปภาพรวมตลาด

• ต่างประเทศ
  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,414.17 จุด ลดลง 250.91 จุด หรือ -0.75%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,278.00 จุด ลดลง 36.60 จุด หรือ -0.85% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,186.18 จุด ลดลง 128.13 จุด หรือ -0.96%
  • ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 439.73 จุด ลดลง 5.29 จุด หรือ -1.19%
  • ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,005.39 จุด ลดลง 53.32 จุด หรือ -1.74%
  • สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้น 1.05 ดอลลาร์ หรือ 1.2% ปิดที่ 89.37 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน ธ.ค. เพิ่มขึ้น 12.20 ดอลลาร์ หรือ 0.62% ปิดที่ 1,980.50 ดอลลาร์/ออนซ์
• ในประเทศ
  • SET ปิดที่ 1,423.04 ลบ 14.81 จุด (-1.03%)  Trading Volume: 36,492.93 ล้านบาท – มูลค่าการซื้อขายน้อย โดยตลาดหุ้นไทยมีการซื้อขายมากที่สุดในหุ้นกลุ่มพลังงาน (-1.71%) ตามด้วยกลุ่มพาณิชย์ (-1.46%) และกลุ่มธนาคาร (-0.40%) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,896.73 ล้านบาท
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปิดปรับขึ้น 1-5 bps แบ่งตามช่วงอายุ ดังนี้
    • อายุ 1-5 ปี ปิดปรับขึ้น 1-2 bps
    • อายุ >5-10 ปี ปิดปรับขึ้น 1-2 bps
    • อายุ >10 ปีขึ้นไป ปิดปรับขึ้น 1-4 bps
    • IRS SWAP ปิดปรับขึ้น 2-8 bps  
  • นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 19,875.95 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,312.79 ล้านบาท