ปัจจัยสำคัญ 

• ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวผสมผสานท่ามกลางการรายงานผลประกอบการของบริษัทเป็นจำนวนมาก โดย Dow Jones ปิดบวก S&P500 ไม่เปลี่ยนแปลง และ Nasdaq ปิดลบ
• ปัจจัยหลักตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อคืนนี้
  1. Bond Yield 10 ปี กลับมาปรับตัวขึ้นมาที่ 4.5% หลังจากร่วงลงต่อเนื่อง 5 วันทำการ
  2. หุ้นเทคโนโลยีปรับตัวลง โดย Uber ร่วงลงแรงเกือบ 6% หลังรายงานผลประกอบการต่ำกว่าคาดและมีขาดทุนสุทธิ
  3. รัฐบาลสหรัฐฯ ยกเลิกใบอนุญาตของ Huawei ในการนำเข้าชิปจาก Intel และ Qualcomm ทำให้ Intel ต้องปรับคาดการณ์รายได้ไตรมาสปัจจุบันนี้ลงและส่งผลลบต่อบรรยากาศในกลุ่ม Semiconductors
  4. Tesla ยังเจอปัจจัยกดดันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดอัยการสหรัฐฯ กำลังสอบสวนว่า Tesla อาจปกปิดข้อมูลเท็จหรือหลอกลวงนักลงทุนและผู้บริโภคเกี่ยวกับความสามารถของระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autopilot) ของบริษัทหรือไม่
• ตลาดหุ้นยุโรป STOXX 600 ยังคงขึ้นทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All Time High) ต่อเนื่อง โดยได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน ประกอบกับความคาดหวังว่าธนาคารกลางยุโรปอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ หลังจากเศรษฐกิจขยายตัวดีกว่าคาดและแนวโน้มเงินเฟ้อที่ชะลอลง
• ตลาดหุ้นญี่ปุ่น Nikkei ปรับตัวลงแรงราว 1.6% เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหลังการพุ่งขึ้นแรงในวันก่อนหน้า (8 พ.ค.) ทั้งนี้ การประกาศซื้อหุ้นคืนจำนวนมากของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่อย่างโตโยต้าไม่สามารถหนุนตลาดให้ปิดบวกได้
• ตลาดหุ้นจีน Shanghai Composite ปิดลบ เนื่องจากนักลงทุนจับตา ตัวเลขการส่งออกที่จะรายงานวันนี้ (9 พ.ค.) ซึ่งน่าจะช่วยให้ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจได้ดีมากขึ้น
• ตลาดหุ้นไทย SET ปิดลบเล็กน้อย ลักษณะเป็นการแกว่งตัวแคบๆ ไร้ปัจจัยหนุนใหม่ ในขณะเดียวกันก็มีประเด็นเรื่องการฟื้นกองทุน LTF กลับมา ซึ่งนักวิเคราะห์มองเป็นเป็นปัจจัยบวกและอาจช่วยจำกัดดาวน์ไซด์ในระยะยาว

มุมมองการลงทุนจาก บลจ.กรุงศรี

• เนื่องจากยังว่างเว้นจากปัจจัยมหภาค (Macro) รวมถึงตลาดหุ้นจับประเด็นไปที่การรายงานผลประกอบการเป็นหลัก ทำให้ภาพของตลาดอาจผันผวนไปมาในช่วงนี้ สำหรับตัวเลขสำคัญอย่างอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ มีกำหนดรายงานในสัปดาห์หน้า
• ทั้งนี้ Bond Yield อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ได้เริ่มหยุดปรับตัวลดลงและมีการปรับตัวขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้ Yield กลับมาน่าสนใจมากขึ้นอีกครั้ง เราแนะนำให้นักลงทุนที่ยังมีสถานะในพอร์ตไม่สูงมากนัก ทยอยเข้าลงทุนเพิ่มได้

สรุปภาพรวมตลาด

• ต่างประเทศ
  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 39,056.39 จุด เพิ่มขึ้น 172.13 จุด หรือ +0.44%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,187.67 จุด ลดลง 0.03 จุด หรือ -0.00% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 16,302.76 จุด ลดลง 29.80 จุด หรือ -0.18%
  • ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 515.77 จุด เพิ่มขึ้น 1.75 จุด หรือ +0.34%
  • ดัชนีนิกเกอิปิดที่ตลาดที่ระดับ 38,202.37 จุด ร่วงลง 632.73 จุด หรือ -1.63%
  • ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ 3,128.48 จุด ลดลง 19.26 จุด หรือ -0.61%
  • ดัชนี S&P BSE Sensex ปิดที่ 73,466.39 ลบ 45.46 จุด หรือ 0.06%
  • สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้น 61 เซนต์ หรือ 0.78% ปิดที่ 78.99 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน มิ.ย. ลดลง 1.90 ดอลลาร์ หรือ 0.08% ปิดที่ 2,322.30 ดอลลาร์/ออนซ์
• ในประเทศ
  • SET ปิดที่ 1,373.33 ลบ 3.04 จุด (-0.22%) Trading Volume: 42,251.03 ล้านบาท – มูลค่าการซื้อขายค่อนข้างน้อย โดยตลาดหุ้นไทยมีการซื้อขายมากที่สุดในหุ้นกลุ่มพลังงาน (-0.20%) ตามด้วยกลุ่มไอซีที (-0.28%) และกลุ่มธนาคาร (+0.20%) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,497.22 ล้านบาท
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปิดปรับขึ้น 1-5 bps แบ่งตามช่วงอายุ ดังนี้
    • อายุ 1-5 ปี ปิดปรับขึ้น 1 bp
    • อายุ >5-10 ปี ปิดปรับขึ้น 1-4 bps
    • อายุ >10 ปีขึ้นไป ปิดปรับขึ้น 1-6 bps
    • IRS SWAP ปิดปรับขึ้น 1-4 bps
    • นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 5,498.32 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 3,356.28 ล้านบาท

• หุ้นทั่วโลก คลิก: KFGLOBAL-A | KFGLOBFX-A | KFWINDX-A
• ตราสารหนี้ต่างประเทศคุณภาพดี คลิก: KFSINCFX-A | KFSINCFX-R | KF-CSINCOM | KF-SINCOME | KFSINCRMF